มูลนิธิเพื่อนหญิง
สนับสนุนโดยสำนักงาน
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดสัมมนา
"การสรุปบทเรียนแผนพัฒนาเครือข่ายเลิกเหล้า :
ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก" ของเครือข่ายการทำงานใน 8 พื้นที่ อาทิ
เครือข่ายชุมชนจังหวัดชุมพร เชียงใหม่ อำนาจเจริญ สมุทรปราการและสุรินทร์
และเครือข่ายแรงงานจังหวัดนนทบุรี ลำพูน สมุทรสาครและนครปฐม
ที่ห้องประชุมนนทรี เคยูโฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
นายสุจิตต์
ไตรพิทักษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า
"การดื่มเหล้าเป็นตัวนำความวิบัติมาสู่ชีวิตของตนเองและครอบครัว ร้อยละ 90
ที่ฝ่ายชายกระทำความรุนแรงกับสตรีและเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืน
การทำร้ายร่างกาย การลักขโมย การทุบตีภรรยา สิ่งต่างๆ
เหล่านี้มีสาเหตุเนื่องจากการดื่มเหล้าทั้งสิ้น"
นายพรณรง
ปั้นทอง อดีตนักดื่มตัวยงที่ผันตัวมาเป็นแกนนำหมู่บ้าน
โครงการตำบลอยู่ดีมีสุข ตำบลโนนหนามแท่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
กล่าวว่า การทำงานกับชุมชนต้องทำงานด้านความคิด
และเป็นความท้าทายมากที่อยู่ดีๆ จะให้คนเลิกเหล้า มีแต่คนจะเอาไม้มาตีหัว
แต่ถ้าทำจริงตนยังสำมะเลเทเมา เดินเป๋ไปพูดคุยกับใครคงไม่มีคนเชื่อถือ
จึงปฏิวัติตัวเองใหม่เลิกเหล้าแบบหักดิบและเริ่มงานเชิงความคิดกับผู้นำใน
13 หมู่บ้าน
การจัดประชุมพูดคุยถึงความรุนแรงและผลกระทบการดื่มเหล้า
เพื่อหาแนวร่วมและตั้งกลุ่มผู้ชายเลิกเหล้าขึ้น
และเมื่อถึงเทศกาลงานบุญ การดื่มเหล้าเฉลิมฉลองเป็นที่นิยมกันมาก
เพื่อแก้ปัญหาจึงจัดเวที
"หมู่บ้านคำกลางพบเพื่อน...ร่วมสร้างหมู่บ้านอยู่ดีมีสุข" ขึ้นใน 13
หมู่บ้าน เพื่อรักษาไข่แดงและขยายผลการทำงานสู่ไข่ขาว
ซึ่งหมายถึงการรักษาพื้นที่ของคนไม่ดื่มเหล้าและขยายไปยังหมู่บ้านรอบข้าง
เพื่อให้คนดื่มเหล้าหมดไปในหมู่บ้าน
จากการทำงานของเหล่าแกนนำและยุทธศาสตร์หลักการทำงานลด
ละ เลิกเหล้า ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชน อาทิ
เกิดกระแสการจัดงานเลี้ยงไม่มีเหล้า เช่น งานศพ งานแต่งงาน งานบวช
งานขึ้นบ้านใหม่ ชาวบ้านเฝ้าระวังปัญหา ความรุนแรงและอบายมุข
ผู้ใหญ่บ้านจำนวน 12
หมู่บ้านเลิกเหล้าได้และสามารถเป็นต้นแบบให้กับลูกบ้าน
และชาวบ้านในหมู่บ้านคำกลางเลิกเหล้าได้ร้อยละ 90 วัด โรงเรียน
และสถานที่ราชการเป็นสถานที่ปลอดเหล้า
ด้าน นางประทุมพร ทองภูเบศร์
ผู้ประสานงานศูนย์เครือข่ายชุมชนพิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี จังหวัดชุมพร
กล่าวถึงการดำเนินงานใน 5 พื้นที่เป้าหมาย ในอำเภอปะทิว อำเภอท่าแซะ
อำเภอพะโต๊ะ รวมถึงชุมชนท่ายางและชุมชนเกาะแก้ว อำเภอเมืองว่า
แผนงานที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จคือโครงการสภาข้าวต้มโจ๊ก
งดเหล้าหยอดกระปุกของชุมชนท่ายาง ทำให้ผู้ชายเลิกเหล้าเพิ่มขึ้น
ในวงสนทนาชี้ให้เห็นว่าการดื่มเหล้าทำให้เสียสุขภาพและเกิดโรคกว่า 60 โรค
และผลจากการพูดคุยทำให้เกิดการชักชวนงดเหล้า
และหยอดกระปุกทำให้เพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
ถัดมาเป็นโครงการสภากาแฟของอำเภอพะโต๊ะ
ให้ผู้ที่ดื่มเหล้าหันกลับมาดื่มกาแฟแทน
โดยจัดทั้งที่บ้านของผู้ชายเลิกเหล้าและสถานที่ราชการ
ส่วนในวงสนทนาจะพูดถึงผลกระทบต่อร่างกาย ครอบครัวและสังคม
ตลอดจนความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก รวมถึงเรื่องพืชผลทางการเกษตร
นางอรุณี
ศรีโต แกนนำผู้รับผิดชอบโครงการชุมชนอุตสาหกรรมไทยเกรียง เลิกเหล้า
ไร้ความรุนแรง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า
3
ปีก่อนเริ่มทำงานไม่รู้ว่าจะเริ่มโครงการอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องหมูๆ
เดิมทีมีแต่เรื่องร้องทุกข์ ทั้งปัญหาแรงงาน ปัญหาครอบครัว
จึงเริ่มต้นจากผู้หญิง คนใกล้ตัว จากครอบครัวที่รู้จัก
พบปะพูดคุยเรื่องสุขภาพอนามัย เรื่องอาชีพ
บางครอบครัวไม่รู้จักก็อาศัยความเชื่อมโยง การประชุม
มีการพาไปเยี่ยมบ้านต่างๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย
ปีถัดมาเมื่อมีคนเลิกเหล้าได้แล้ว
ทางทีมงานจึงจัดตั้งกลุ่มแกนนำผู้ชายเลิกเหล้าให้กลายเป็นผู้ชายต้นแบบ
เลิกเหล้า ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก
เพื่อให้ผู้ชายต้นแบบเหล่านั้นไปพูดคุยกับผู้ชายที่ยังดื่มอยู่
จะเข้าใจกันมากกว่าที่ให้ผู้หญิงที่เป็นแกนนำเข้าไป
อีกทั้งยังรับรู้ปัญหาได้ง่ายและตรงจุดขึ้น
การแก้ไขปัญหาไม่ควรแก้ไขที่กลุ่มผู้ชายหรือผู้หญิงแต่เพียงอย่างเดียว
ควรจะแก้ไขทั้งครอบครัวให้ร่วมมือร่วมใจกัน
จนเป็นที่มาของการจัดกิจกรรมค่ายครอบครัวอบอุ่น
นางประนอม
เชียงอั๋ง จากสหภาพแรงงานกิจการสิ่งทอ (วาไทย) กล่าวว่า
ยุทธศาสตร์สำคัญในการทำงานคือมุ่งเน้นให้บริษัทเข้ามามีส่วนร่วม
พร้อมชี้ให้เห็นถึงผลกระทบต่างๆ
เช่น เมื่อดื่มเหล้าก็จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ทรุดโทรม
ทำงานได้ไม่เต็มที่ ขาดกำลังการผลิต หยุดบ้าง ลาป่วยบ้าง
ผลที่ตามมาคือผลผลิตล่าช้า ไม่ตรงตามเวลา และไม่ได้คุณภาพ
เป็นผลเสียทั้งต่อบริษัทและตัวพนักงาน
และนำเรื่องแรงงานสัมพันธ์เข้ามาใช้ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ
ขึ้นโดยไม่มีเหล้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ปัญหาที่พบคือเรื่องของเวลา
เพราะพวกเรายังเป็นลูกจ้างที่ต้องทำงานซึ่งเวลาไม่ตรงกัน
นอกจากนี้คนงานยังไม่กล้าเปิดใจเล่าถึงสาเหตุปัญหา
เพราะคิดว่าเป็นเรื่องภายในไม่ควรให้คนภายนอกรับรู้
นายจะเด็จ
เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า
สิ่งที่มองไปในอนาคตคือชุมชนแต่ละแห่งอยากให้เป็นตัวอย่างเครือข่ายหรือองค์กรที่เข้มแข็ง
และทำงานที่ต่อสู้เรื่องหญิงและเด็กด้วยตัวเขาเองได้
และเป็นองค์กรที่สร้างวัฒนธรรมใหม่เห็นว่าเหล้ากับความรุนแรงเป็นปัญหา
เพราะลำพังมูลนิธิเพื่อนหญิงคนน้อย
เราควรให้ความคิดนี้ต่อไปยังภาคประชาชนเพื่อต่อสู้ต่อไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญก่อให้เกิดกระบวนการปกป้องสิทธิและปัญหาเรื่องผู้หญิงและเด็ก
เรื่องเหล้ากับความรุนแรง ส่วนความเป็นไปได้มีอยู่
9
จังหวัดและมีจังหวัดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นคือ กรุงเทพฯ
และจังหวัดที่เข้มแข็งมีอยู่ 5-6
จังหวัดที่พัฒนาในเรื่ององค์กรต้นแบบได้คือ ชุมพร เชียงใหม่ อำนาจเจริญ
สุรินทร์ สมุทรปราการ
ในอนาคตมีที่ลำพูนซึ่งเป็นสหภาพที่เข้มแข็งก็พัฒนาได้
แต่ยังมีบางพื้นที่ต้องช่วยให้เขาค่อยๆ เติบโตเป็นขั้นเป็นตอน
ที่มา-