เป็นคำเตือนจากสถาบันอาหารเตือนผู้บริโภค
ผู้ประกอบการ ให้ระวังสาร "อะคริลาไมด์"
อันตรายที่ปนเปื้อนมากับอาหารจานด่วนและขนมขบเคี้ยว โดยปัญหานี้
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ระบุชัดว่า สาร "อะคริลาไมด์"
เป็นสารอันตรายที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
โดย
อาหารที่เป็นแหล่งการปนเปื้อนสารอะคริลาไมด์คือ
อาหารจานด่วนและขนมขบเคี้ยวจำพวกมันฝรั่งทอดแบบแท่ง (เฟรนฟรายด์)
มันฝรั่งทอดกรอบ ขนมปังกรอบ บิสกิต เครกเกอร์ อาหารเช้าจาก ธัญพืช
และกาแฟผง
ส่วนปริมาณที่พบจะมีมากน้อยเท่าใดนั้นต้องส่งวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น
เบื้องต้นสถาบันอาหารได้วิเคราะห์สารอะคริลาไมด์ ในมันฝรั่งทอดกรอบ
(แผ่นบาง) ขนมปังกรอบและบิสกิตพบว่ามี อะคริลาไมด์ ปนเปื้อนทุกตัวอย่าง
โดยเฉพาะมันฝรั่งทอดกรอบพบปนเปื้อนในปริมาณสูง
แต่ก็ระดับต่ำกว่าปริมาณที่ตรวจพบในมันฝรั่งทอดกรอบและบิสกิตของต่างประเทศ
ซึ่งหน่วยงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ
(IARA)
จัดให้สารอะคริลาไมด์เป็นสารกลุ่มที่มีความเป็นไปได้สูงในการก่อให้เกิดมะเร็งในคน
ผลวิจัยด้านการประเมินความเสี่ยงสารอะคริลาไมด์ของสหภาพยุโรปล่าสุด
เผยแพร่ช่วงปลายปี 2550
ทำให้รู้ว่าคนจะได้รับสารอะคริลาไมด์เข้าสู่ร่างกายมากขึ้นจากการบริโภคอาหารที่ผ่านความร้อนสูง
จากเดิมที่มีความรู้แค่ว่าอะคริลาไมด์เข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทางคือ
การดื่มน้ำและการสูบบุหรี่ โดย
สารอะคริลาไมด์จะก่อตัวขึ้นในอาหารพวกธัญพืช
มันฝรั่ง อาหารที่มีแป้งสูงและกาแฟ ที่ถูกให้ความร้อนสูงๆ (สูงกว่า 120
องศาเซลเซียส) หรือใช้เวลาในการอบ ทอด ย่าง ปิ้ง เป็นเวลานานๆ
จนก่อตัวเป็นสารอะคริลาไมด์ขึ้นในที่สุด
นายยุทธศักดิ์ บอกด้วยว่า
ปัจจุบันทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐ ยังมิได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานการ
ปนเปื้อนของสารอะคริลาไมด์ในอาหารแต่ละชนิด
เนื่องจากต้องรอผลการประเมินความเสี่ยงที่ชัดเจน
ส่วนประเทศไทยก็ยังไม่ได้กำหนดมาตรฐานการปนเปื้อนของอะคริลาไมด์เช่นกัน
ทว่าหลายประเทศได้กำหนดมาตรฐานการปนเปื้อนของสารอะคริลาไมด์ในน้ำดื่มไว้
เช่นองค์การอนามัยโลกกำหนดข้อแนะนำด้านคุณภาพน้ำดื่มมีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อนได้ไม่เกิน
0.5 ไมโครกรัม/ลิตร
สหภาพยุโรปกำหนดมาตรฐานน้ำดื่มให้มีสารอะคริลาไมด์ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 0.1
ไมโครกรัม/ลิตร ส่วนสหรัฐ โดยหน่วยงาน EPA
กำหนดให้ในน้ำดื่มต้องไม่พบสารอะคริลาไมด์
และกำหนดเทคนิคที่ใช้ในการทรีทเมนต์น้ำดื่มเพื่อลดการปนเปื้อนเช่นเดียวกับญี่ปุ่น
ปัจจุบันไทยยังมีข้อมูลปริมาณการปนเปื้อนอะคริลาไมด์ในอาหารจานด่วนที่คนไทยนิยมบริโภคไม่มากนัก
และยังไม่มีการศึกษา
หรือการประเมินความเสี่ยงถึงการได้รับสารอะคริลาไมด์จากการบริโภคอาหารจานด่วนและขนมขบเคี้ยว
ทั้งไทยยังมีห้องปฏิบัติการไม่กี่แห่งที่สามารถวิเคราะห์สารอะคริลาไมด์ในอาหารได้
จึงน่าเป็นห่วงคนไทยอย่างยิ่งเพราะธุรกิจอาหารจานด่วน
ขนมขบเคี้ยวในไทยได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ส่วนใหญ่เป็นผลจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป
จากเดิมที่บริโภคอาหารไทยแบบดั้งเดิมเป็นหลักมาเป็นบริโภคอาหารต่างชาติและอาหารจานด่วน
ฉะนั้นควรรณรงค์ให้คนไทยทุกเพศ ทุกวัยหันมาบริโภคอาหารแบบไทยๆ
ที่มีเส้นใยให้มากขึ้น นอกจากช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งแล้ว
ยังช่วยแก้ปัญหาที่คนไทยมีภาวะโภชนาการเกิน และเป็นโรคอ้วนได้อีกด้วย