เรื่อง สุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 3
ตอนที่แล้ว พระภิกษุบุตรเศรษฐีครั้นได้ทราบว่าบิดามารดาตกระกำลำบาก ไร้ที่พึ่งพาอาศัย ต้องเที่ยวขออาหารเขาเลี้ยงชีพไปวันๆ จึงกลับมาที่พระวิหารเชตวันด้วยความคิดว่า จะลาสิกขาออกไปเลี้ยงดูท่านทั้งสอง
วันรุ่งขึ้น ท่านคิดว่า ก่อนที่ลาสิกขาไป เราฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงค่อยไป จึงได้ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายพุทธบริษัท ได้สดับพระบรมศาสดาตรัสสรรเสริญพราหมณ์ท่านหนึ่งซึ่งเที่ยวบิณฑบาตมาเลี้ยงบิดามารดาว่า เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ได้บุญมาก
เมื่อได้ฟังดังนั้นท่านก็ดีใจ คิดว่า เราอยู่ในเพศบรรพชิตก็สามารถเลี้ยงดูบิดามารดาได้ คิดดังนี้แล้วจึงห่มครองจีวร แล้วประคองบาตรเข้าไปยังโรงทาน รับเอาภัตตาหารตามสลากที่จับได้แล้วก็นำไปสู่ที่อยู่ของบิดามารดา ซึ่งบัดนี้กลายเป็นขอทานอาศัยชายคาบ้านของคนอื่นอยู่
เมื่อไปถึงได้เห็นสภาพของบิดามารดา ซึ่งบัดนี้ยากจนอนาถา มีร่างกายซูบผอมเศร้าหมอง สวมเสื้อผ้าเก่าขาด ก็เกิดความสงสารตื้นตันใจ ไม่สามารถเปล่งถ้อยคำใดออกมาได้ จึงประคองบาตรยืนน้ำตาไหลพรากอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายบิดามารดา แม้เห็นพระลูกชายมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้วก็จำไม่ได้ นึกว่าพระท่านมาบิณฑบาต จึงออกปากนิมนต์ให้ท่านไปโปรดข้างหน้าเถิด พูดย้ำๆ ดังนี้ถึง 3 ครั้ง
ฝ่ายบิดาเห็นว่า พระคุณเจ้ารูปนั้นไม่ยอมไปที่อื่นเลย ชะรอยคงจะเป็นบุตรของเราเป็นแน่ จึงเรียกให้ภรรยาไปดูว่า “เป็นลูกของเราละกระมัง เธอเข้าไปดูก่อนซิ”
นางจึงลุกขึ้นตามคำของสามีแล้วเดินไปมองดูใกล้ๆ ก็จำได้ว่า ใช่บุตรของตนแน่แล้ว ครั้นรู้ว่าบัดนี้พระลูกชายกลับมาโปรดนางแล้วเท่านั้น นางก็ดีใจสุดประมาณ ทรุดลงแทบเท้าทั้งสองของพระลูกชาย สุดที่จะอดกลั้นความอาดูรเอาไว้ จึงร้องไห้รำพันอยู่ตรงนั้นเอง
ฝ่ายบิดาเมื่อรู้ว่าพระลูกชายของตนกลับมาแล้ว ก็เข้ามานั่งลงร้องไห้อยู่ตรงนั้นเช่นกัน ภาพของคนทั้งสามซึ่งต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เป็นภาพที่น่าสงสารยิ่งนัก ใครเลยจะรู้ว่า นี้คืออดีตเศรษฐีผู้มีทรัพย์ถึง 18 โกฏิ แต่ทว่า..บัดนี้กลายเป็นยาจก ตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง
เมื่อระงับความโศกไว้ได้แล้ว ภิกษุได้กล่าวปลอบโยมบิดามารดาว่า “ขอโยมพ่อโยมแม่อย่าได้ทุกข์ใจไปเลย อาตมภาพจะเลี้ยงดูท่านทั้งสองเอง ขอให้โยมจงวางใจเถอะ ตราบใดที่พระยังอยู่ พระจะเลี้ยงดูท่านทั้งสองให้มีความผาสุก”
เมื่อกล่าวปลอบโยนจนคลายความเศร้าโศกแล้ว ท่านจึงเอาน้ำข้าวยาคูที่ได้รับมาจากโรงสลากภัตรนั้น มอบให้โยมทั้งสองได้ดื่ม จากนั้น จึงไปเที่ยวบิณฑบาตรับภัตตาหารที่ได้มาในตอนสาย มอบให้ทั้งสองท่านได้กินอย่างเต็มอิ่ม ส่วนตนนั้นได้แต่นั่งมองท่านทั้งสองด้วยใจที่สงสารและอิ่มใจระคนกัน ครั้นเมื่อโยมทั้งสองอิ่มหนำดีแล้ว ท่านจึงออกบิณฑบาตแสวงหาภัตตาหารมาเพื่อตนเอง
นับแต่นั้นมา ภิกษุผู้มีความกตัญญูก็ได้เลี้ยงดูบิดามารดาโดยทำนองนี้เรื่อยมา ไม่ว่าจะได้ภัตตาหารมาเท่าไหร่ ท่านจะยังไม่ยอมบริโภค แต่จะนำอาหารที่ได้มานั้นมอบให้กับโยมพ่อโยมแม่ได้กินก่อน
ส่วนตนเองนั้น เมื่อให้ท่านทั้งสองอิ่มแล้วจึงค่อยออกบิณฑบาตในภายหลัง ซึ่งวันใดได้ภัตตาหารมา ท่านก็บริโภคเพียงเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป แต่ถ้าวันใดไม่ได้ภัตตาหารเลย ท่านก็ไม่ได้ฉัน แต่ถึงจะอดอาหาร แต่ก็อิ่มใจ มิได้พร่ำบ่นเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
แม้เมื่อยามที่ได้รับผ้าจำนำพรรษา หรือผ้าใหม่อย่างใดอย่างหนึ่งที่ญาติโยมถวายมา ท่านก็นำมามอบให้แก่โยมบิดามารดาก่อน ส่วนตนนั้นจะนำผ้าเก่าที่โยมทั้งสองนุ่งห่มแล้วมาซัก เย็บ ย้อมแล้วจึงนุ่งห่มเอง
วันแล้ววันเล่าที่ภิกษุผู้มีความกตัญญูได้ปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดีเช่นนี้ ไม่เคยให้โยมทั้งสองได้อด แต่สำหรับท่านเองนั้นมักจะอดอาหารเป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อออกบิณฑบาตแสวงหาภิกษาหารมาเพื่อตนเอง ก็มักจะออกเมื่อยามสายมากแล้ว ส่วนมากมักจะได้เพียงบาตรเปล่ากลับสู่วิหาร มีน้อยวันเหลือเกินที่ได้ฉันจนอิ่ม
เมื่อท่านต้องอดอาหารอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดร่างกายจึงค่อยๆซูบผอมลงทุกขณะ ทั่วสรรพางค์กายสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นปูดโปน แม้กระทั่งผิวพรรณที่เคยผ่องใสก็กลับเศร้าหมองลงทุกขณะจนเห็นได้ชัด
วันหนึ่งเพื่อนภิกษุด้วยกันจึงถามท่านว่า “อาวุโส แต่ก่อนผิวพรรณของท่านงดงามผ่องใส แต่ทำไมบัดนี้ถึงได้เศร้าหมองลง แม้แต่ร่างกายที่งดงามเต็มบริบูรณ์ แต่เหตุไฉนถึงได้ซูบผอม ทั้งเนื้อทั้งตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นอย่างนี้เล่า ท่านเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอะไรหรือ”
“โรคภัยร้ายแรง มิได้เกิดขึ้นกับกระผมหรอกท่าน แต่เพราะเหตุที่กระผมได้ผ่ายผอมลง จนดูผิดตาไปเช่นนี้ก็เพราะมีเหตุ” จากนั้นภิกษุผู้กตัญญูจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนภิกษุฟัง
เรื่องราวของภิกษุผู้เลี้ยงดูบิดามารดาได้แพร่ไปในหมู่เพื่อนภิกษุด้วยกัน แต่ภิกษุเหล่านั้นมิได้เห็นชอบด้วยแต่อย่างใด กลับพากันกล่าวตำหนิว่า “อาวุโส ไทยธรรมที่ญาติโยมถวายให้เรามา ก็หวังจะให้เราเป็นเนื้อนาบุญ แม้พระศาสดาก็เคยตรัสย้ำว่า ไม่ควรทำศรัทธาของญาติโยมให้เสียไป แต่ท่านกลับเอาอาหารไปให้แก่เหล่าคฤหัสถ์ ท่านทำเช่นนี้ นับเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเลย”
ภิกษุนั้นได้ฟังถ้อยคำติเตียนของเพื่อนสหธรรมิกแล้ว ก็เกิดความละอายแก่ใจ เพราะคิดว่าตนเองนั้นทำผิดต่อคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา จากนั้นมา ท่านจึงทอดทิ้งการปรนนิบัติดูแลบิดามารดาไปเสีย
แม้กระนั้น เหล่าภิกษุด้วยกันก็ยังไม่พอใจแต่เพียงเท่านั้น ได้นำเรื่องของภิกษุผู้เลี้ยงดูบิดามารดาไปเข้าเฝ้ากราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ
พระองค์ครั้นทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงตรัสสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามท่ามกลางภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่เธอนำเอาของที่ญาติโยมถวายมาด้วยความศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์”
พระบรมศาสดาครั้นทรงได้รับคำตอบว่า “จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า” จากปากของภิกษุบุตรเศรษฐี จึงตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุ แล้วคฤหัสถ์เหล่าไหนกันละ ที่เธอเลี้ยงดู”
ภิกษุนั้นได้กราบทูลว่า “ข้าพระองค์เลี้ยงดูบิดามารดาของข้าพระองค์เอง พระเจ้าข้า”
จึงทรงมีพระประสงค์จะสรรเสริญการกระทำของภิกษุผู้เลี้ยงดูบิดามารดานั้น ทั้งจะทรงประกาศถึงบุพจริยาของพระองค์เอง ในครั้งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่
ได้ทรงประทานสาธุการท่ามกลางหมู่ภิกษุทั้งหมดว่า “สาธุ สาธุ สาธุ ภิกษุ เธอทำดีแล้ว เธอดำรงอยู่ในทางที่เราดำเนินแล้ว แม้เราเองเมื่อครั้งที่ยังบำเพ็ญบารมีอยู่ในกาลก่อน ก็ได้บำรุงเลี้ยงบิดามารดาเช่นเดียวกัน”
ฝ่ายเพื่อนสหธรรมิกรูปอื่นๆ ได้เกิดความสงสัย ใคร่ที่จะฟังว่าบุพจริยาที่พระบรมศาสดาทรงบำเพ็ญนั้นว่า มีความเป็นมาอย่างไร จึงได้กราบทูลอาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงบุพจริยาของพระองค์ พระบรมศาสดาจึงทรงนำเรื่องราวเมื่อครั้งที่ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี ในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพระสุวรรณสามมาแสดง ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)