คำว่า ธรรมกาย เป็นศัพท์สมาส ที่อาจแปลเป็นคำคุณศัพท์ว่า ผู้มีธรรมเป็นกาย หรืออาจแปลเป็นคำนามก็ได้ว่า กายแห่งธรรม กายคือธรรมหรือกายที่ประกอบด้วยธรรม
เราได้ข้อสรุปจากการวิเคราะห์เนื้อหาของข้อความในอัคคัญญสูตรที่กล่าวถึงธรรมกายแล้วว่า ธรรม หมายถึงโลกุตตรธรรม ซึ่งเป็น “องค์รวม” ของคุณธรรมในระดับของอริยบุคคล ตอนนี้เราจะมาศึกษาความหมายของ กาย กันต่อไป
คำว่า กาย ในภาษาบาลี อาจใช้ในหลาย ความหมาย ซึ่งอาจจัดได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หมวดหมู่ (กลุ่ม เหล่า พวก ฝูง เป็นต้น) หรือร่างกาย ก็ได้
ทั้งสองความหมายของ “กาย” มีจุดร่วมที่เหมือนกันประการหนึ่ง คือ ต่างก็เป็นที่รวมของหน่วยย่อย หลาย ๆ หน่วยเหมือนกัน เช่น คำว่า “หมู่ชน” ก็ประกอบด้วยคนหลายคน หรือ “ร่างกาย” ก็ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ เช่นกัน อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันระหว่าง “หมวดหมู่” กับ “ร่างกาย” คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “หน่วยย่อย” เหล่านั้น กับ “องค์รวม”กล่าวคือ
หมวดหมู่ (หรือกลุ่ม เหล่า พวก ฝูง) เป็นเพียง คำเรียกชื่อรวม ของ “หน่วยย่อย” หรือ“สมาชิก” ประเภทเดียวกันไว้ด้วยกันเท่านั้น โดยที่ “สมาชิก” แต่ละหน่วย ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน หรือต่อ “หมวดหมู่” นั้นแต่อย่างใด และการที่จะมี “หมวดหมู่” หรือไม่นั้น ก็มิได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใดต่อหน้าที่ลักษณะ หรือคุณสมบัติของสมาชิกแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น คำว่า “เหล่าเทวดา” เป็นเพียงคำเรียกรวมเทวดาหลายตนเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะมี “เหล่า” หรือไม่ เทวดาแต่ละตนก็ยังคงเป็นเทวดาตนเดิม มีรูปร่างหน้าตา คุณสมบัติเหมือนเดิม และเสวยทิพยสมบัติแบบเดิม หรือหากจะมีสมาชิกตนใดจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้ว ส่วนที่เหลือก็ยังคงเรียกว่า “เหล่าเทวดา” ได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดิม
คำว่า “หมวดหมู่แห่งธรรม” ก็เช่นเดียวกันเป็นเพียงคำเรียกรวม “ธรรมะ” ซึ่งอาจหมายถึง “คำสอน” หรือ “คุณสมบัติ” ที่หลากหลายเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่หาได้แสดงถึงความสัมพันธ์ อันใดระหว่างธรรมเหล่านั้นไม่
ส่วน ร่างกาย ประกอบขึ้นด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่ต้องทำงานผสานกันเป็น “องค์รวม”หากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งถูกตัดขาดออกจากกายหรือ “องค์รวม” นั้น อวัยวะนั้นก็ทำงานต่อไปไม่ได้ และ “ร่างกาย” หรือ “องค์รวม” ดังกล่าวก็ได้ชื่อว่าพิการ ไม่ใช่กายที่สมบูรณ์อย่างเดิม
อนึ่ง หาก “ร่างกาย” นั้นตายไป ซึ่งได้ชื่อว่า สูญเสีย “องค์รวม” ไปแล้ว แม้อวัยวะต่าง ๆ จะยังมีอยู่อย่างครบถ้วน ก็ไม่อาจทำงานได้ดังเดิมดังนั้นในความหมายของ “ร่างกาย” การทำงานของสมาชิกหน่วยย่อย คือ อวัยวะต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับ “องค์รวมที่ทำหน้าที่ได้” หรือ “กายที่มีชีวิต” นั่นเอง
กล่าวโดยสรุปคือ ในความหมายทั้งสองของ กาย อันได้แก่ “หมวดหมู่” และ “ร่างกาย”มีจุดร่วมที่เหมือนกันในแง่ขององค์ประกอบ แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของการทำงาน
เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้ และย้อนทบทวนถึงการทำงานของ ธรรม ใน ธรรมกาย แล้ว คงได้คำตอบที่ชัดเจน เพราะธรรมนั้น เป็นเสมือนธรรมที่มีชีวิต ที่ ทำหน้าที่ กำจัดกิเลส เปลี่ยนปุถุชนเป็นอริยบุคคล หรือเปลี่ยนอริยบุคคลเบื้องต่ำให้เป็นอริยบุคคลในภูมิที่สูงขึ้นได้ อีกทั้งการทำงานของธรรมนั้น ก็ขึ้นกับ “องค์รวม” เป็นสำคัญ กล่าวคือ การที่คุณธรรมแต่ละประการจะทำหน้าที่กำจัดกิเลสได้เด็ดขาดนั้น จำเป็นต้องเป็นองค์ประกอบของ “โลกุตตรมรรค” ที่บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติหรือคุณธรรมต่าง ๆ อันเปรียบเสมือนอวัยวะ ซึ่งเป็นความหมายของ กาย ในฐานะที่เป็น “ร่างกาย” มิใช่เพียงแค่ “หมวดหมู่” เท่านั้น
บทวิเคราะห์คำว่า ธรรมกาย ที่เป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธองค์ ดังที่ปรากฏในอัคคัญญสูตร จึงให้ข้อสรุปว่า เป็นความเหมาะสมมากกว่าที่จะเข้าใจความหมายของ ธรรมกาย ในฐานะที่เป็น กายแห่งการตรัสรู้ธรรม หรือกายคือธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงในยามที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกายหรือธรรมที่มีชีวิต และมีฤทธานุภาพในการชำระล้างกิเลสอันเป็นเหตุเศร้าหมองให้มลายสิ้นไป และเมื่อทรง
เข้าถึงและ “ได้เป็น” กายคือธรรม นี้ ดังที่พระองค์ตรัสเรียกตนเองว่า ธรรมภูต คือ ผู้ที่ได้ธรรม นั้นแล้ว กายคือธรรม นี้เอง ที่ได้กลายมาเป็น “ตัวตนใหม่” ของพระพุทธองค์ แทนพระรูปกายที่กลายเป็นเพียง “เปลือกหุ้ม” ตราบถึงวาระสุดท้ายที่ทรงดำรงอยู่ในโลกมนุษย์นี้
ธรรมนั้นเป็นเสมือนธรรมที่มีชีวิต ที่ทำหน้าที่กำจัดกิเลส เปลี่ยนปุถุชนเป็นอริยบุคคล
หรือเปลี่ยนอริยบุคคลเบื้องต่ำให้เป็นอริยบุคคลในภูมิที่สูงขึ้นได้
บทวิเคราะห์คำว่า ธรรมกาย ในคัมภีร์อปทาน อีก 3 แห่ง มีความสอดคล้องและยืนยันรับรองความหมายของธรรมกายในอัคคัญญสูตรนี้ทั้งยังแสดงให้เห็นรายละเอียดบางอย่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
2. ปัจเจกพุทธาปทาน : ธรรมกายกับพระปัจเจกพุทธเจ้า
หลักฐานชิ้นที่ 2 ในพระไตรปิฎกบาลี ที่ปรากฏคำว่า ธรรมกาย อยู่ในคัมภีร์ส่วนที่เรียกว่า “ปัจเจกพุทธาปทาน” ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวของพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยร้อยเรียงเป็นฉันทลักษณ์พระปัจเจกพุทธเจ้า คือผู้ที่มีบุญบารมีสูงส่งมีพื้นใจสะอาดบริสุทธิ์ และมีดวงปัญญาเป็นเลิศจึงสามารถตรัสรู้ธรรมและบรรลุมรรคผลนิพพานได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีครู เช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่างกันแต่เพียงว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ามิได้สั่งสอนคนหมู่มากให้บรรลุธรรมตามท่านไปด้วยอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำได้ ดังนั้นในความเป็นเนื้อนาบุญพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงจัดอยู่ในลำดับที่ 2 รองจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหนือกว่าพระอรหันตสาวกทั้งหมด