เวมานิกเปรตผู้โดดเดี่ยว
 
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
จากวารสารอยู่ในบุญ ฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2557

“บัณฑิตไม่ควรทำความชั่ว เพราะเห็นแก่ตัวเอง หรือเห็นแก่คนอื่น
ไม่ควรปรารถนาบุตร ทรัพย์ แว่นแคว้น หรือความสำเร็จแก่ตนโดยทางที่ไม่ชอบธรรม
ควรมีศีล มีปัญญา มั่นอยู่ในธรรม” (ขุ.ธ.)
 

     เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอดีตหญิงโสเภณีคนหนึ่งที่ประพฤติผิดศีลแทบทุกข้อ แต่มีบุญที่ได้ทำทานกับพระอรหันต์ไว้บ้าง จึงทำให้ไปบังเกิดเป็นเวมานิกเปรต เปลือยกายอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทร เรื่องของนางก็มีอยู่ว่า ครั้งอดีตกาลในกรุงพาราณสี เธอเป็นหญิงโสเภณีผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม มีผิวพรรณงดงามกว่าหญิงโสเภณีคนอื่น ๆ ยิ่งกว่านั้นเธอยังมีเส้นผมที่ละเอียด ดกดำ อ่อนนุ่ม มีปลายผมตวัดงอน ยามใดที่ชายหนุ่มเจ้าสำราญทั้งหลายเห็นความงามเส้นผมของเธอ ต่างก็เกิดหลงใหลถวิลหา ทำให้หญิงโสเภณีด้วยกันเกิดอิจฉาริษยาในตัวเธอยิ่งนัก

     วันหนึ่ง ขณะอาบน้ำในแม่น้ำคงคา เธอสระผมด้วยยาสระผมของเพื่อนผู้ไม่ปรารถนาดีต่อเธอ เมื่อเธอดำน้ำเพื่อล้างยาสระผมออกทันทีที่โผล่พ้นผิวน้ำเท่านั้น เส้นผมพร้อมทั้งรากผมก็หลุดร่วงทั้งหมด ทำให้ศีรษะของเธอเกลี้ยงเกลาเหมือนกะโหลกน้ำเต้าขม เมื่อเส้นผมร่วงหมดก็หมดความงาม เหมือนนกพิราบถูกถอนขนหัว ไม่สามารถประกอบอาชีพโสเภณีได้อีกต่อไป เธอจำต้องนำผ้ามาคลุมศีรษะแล้วหันมาขายสุราและน้ำมันงาแทนอาชีพเดิมโดยตั้งร้านอยู่ที่ปากทางเข้าเมือง นอกจากจะทำบาปด้วยการขายสุราเมรัยแล้ว เธอยังประพฤติผิดศีลข้ออทินนาทาน คือ จะขโมยเสื้อผ้าและของมีค่าของคนขี้เมาที่เมาได้ที่จนหลับสนิท แล้วนำไปขายเป็นประจำ

     อย่างไรก็ตามชีวิตของเธอก็ไม่ได้มืดมนไปทุกอย่าง วันหนึ่ง เธอได้เห็นพระอรหันตเถระรูปหนึ่งบิณฑบาตผ่านมา จึงนิมนต์ท่านเข้ามาในบ้านด้วยความเลื่อมใส พร้อมกับถวายแป้งผสมกับน้ำมันงา หลังจากพระเถระฉันเสร็จแล้วได้ทำการอนุโมทนา ขณะเดียวกันก็แนะนำให้เธอเลิกอาชีพขายเหล้าเพราะเป็นมิจฉาอาชีวะการขายเหล้าเพื่อมอมเมาคนอื่น นอกจากทำให้ตัวเองได้บาปและจะต้องไปตกนรกแล้ว วิบากกรรมที่ตามมายังส่งผลให้เป็นคนด้อยปัญญาแต่เธอก็ยังเลิกไม่ได้ โดยอ้างเหตุผลว่ายังหาอาชีพอื่นไม่ได้
 

     ต่อมา เมื่อเธอถึงแก่กรรม บุญส่งผลให้ไปเกิดเป็นเวมานิกเปรตผู้โดดเดี่ยวอยู่ในวิมานทองกลางมหาสมุทร มีเส้นผมสวยงามสมปรารถนา แต่ด้วยบาปกรรมที่ลักขโมยเสื้อผ้าและของมีค่าของคนขี้เมา ส่งผลให้เธอต้องเป็นเปรตชีเปลือย ไม่มีภูษาอาภรณ์สวมใส่ เธอต้องตายแล้วเกิด ๆ อยู่อย่างนั้นหลายครั้ง ในวิมานทองแห่งนั้นตลอดถึง 1 พุทธันดร

     เมื่อถึงสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา มีพ่อค้าชาวเมืองสาวัตถี 700 คนล่องเรือไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ แล้วถูกพายุพัดพาไปถึงเกาะกลางทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่ของนางเวมานิกเปรตผู้โดดเดี่ยวนั้น เมื่อเปรตหญิงชีเปลือยเห็นพวกพ่อค้าซึ่งถูกพายุพัดมาถึงที่ก็ตื่นเต้นดีใจและแสดงตนให้พวกพ่อค้าเห็นพร้อมด้วยวิมาน หัวหน้าพ่อค้าถามว่า “น้องสาวเธอเป็นใครกัน เป็นมนุษย์หรือเทพธิดา ทำไมหลบอยู่ ไม่ยอมออกมาให้พวกเราเห็น ช่วยเดินออกมาข้างนอกหน่อยเถอะ พวกเราอยากเห็นเธอใกล้ ๆ”

     นางเวมานิกเปรตได้แต่ยื่นหน้าออกมาพลางตอบว่า “ดิฉันเป็นเวมานิกเปรตชีเปลือยมีเพียงเส้นผมปิดบังไว้เท่านั้น รู้สึกละอายที่จะออกไปข้างนอก” พวกพ่อค้าได้ฟังแล้วก็สงสาร จึงกล่าวว่า “น้องสาว ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะให้เสื้อผ้าเนื้อดีแก่เธอ” เธอรีบปฏิเสธว่า “พวกท่านให้เสื้อผ้าอย่างนี้ ดิฉันนุ่งห่มไม่ได้ขอเพียงท่านให้เสื้อผ้าแก่อุบาสกที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แล้วอุทิศส่วนกุศลมาให้ ดิฉันก็จะได้นุ่งห่มเสื้อผ้าตามที่พวกท่านปรารถนา”

     เผอิญในขบวนพ่อค้ากลุ่มนี้ มีพ่อค้าผู้เป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยร่วมทางมาด้วย พวกพ่อค้าจึงให้อุบาสกอาบน้ำ ทาด้วยของหอม แล้วให้นุ่งห่มเสื้อผ้าเนื้อดี พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้กับนาง ทำให้โภชนะเครื่องนุ่งห่มเกิดขึ้นกับนางอย่างปัจจุบันทันตาเห็น นางมีร่างกายงดงามสว่างไสว พร้อมนุ่งห่มผ้าที่สะอาด เนื้อละเอียดงดงาม เดินยิ้มแย้มออกมาจากวิมานทันที
 

     พวกพ่อค้าเห็นเช่นนั้น ก็ปีติเบิกบานที่ได้ช่วยเหลือนางเวมานิกเปรต และสนทนากับนางด้วยจิตยินดี นางเวมานิกเปรตถือโอกาสเล่าเรื่องในอดีตด้วยความระทมทุกข์ว่า “วิมานและรูปสมบัตินี้เป็นผลบุญนิดหน่อยที่ดิฉันทำ  ไว้กับพระเถระ แต่อีก 4 เดือนจากนี้ ผลบุญก็จะหมดแล้ว จากนั้นดิฉันจะตกนรกหมกไหม้แสนสาหัสเหมือนอยู่ในคุกสี่เหลี่ยมที่แบ่งเป็นห้อง ๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็กที่มีพื้นลุกเป็นไฟ ซึ่งมีความร้อนแผ่ไปถึง 100 โยชน์ดิฉันจะต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกอีกนานดิฉันเป็นทุกข์เหลือเกิน ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะพ้นจากทุกข์นี้ไปได้”

     การที่นางเคยหลงทำผิดไปนั้น เพราะไม่เชื่อคำแนะนำของพระเถระ ทำให้ต้องดำเนินชีวิตผิดพลาด ชีวิตจึงมืดมน เหมือนคนเดินหลงทางในความมืด ครั้นมาเชื่อตอนตายก็สายไปเสียแล้ว พวกพ่อค้ารู้สึกสงสารนางมาก จึงพูดขึ้นว่า “แค่พวกเราทำบุญกับอุบาสก แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเธอ ยังส่งผลทันตาเห็นขนาดนี้แต่ถ้าหากเธอได้ทำบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเธอก็ไม่ต้องไปอบายอย่างแน่นอน ขอให้เธอทำจิตให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายเถิด”

     นางเวมานิกเปรตดีใจมากที่ยังพอมองเห็นทางรอดจากมหานรกอยู่บ้าง นางจึงส่งใจนอบน้อมถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งให้อุบาสกและพ่อค้ารับประทานอาหารทิพย์อย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วก็มอบผ้าทิพย์และรัตนชาติหลากชนิดให้แก่พวกพ่อค้าด้วย อีกทั้งยังฝากผ้าทิพย์คู่หนึ่งให้นำไปถวายพระบรมศาสดาจากนั้นก็ใช้ฤทธานุภาพของนางส่งพวกพ่อค้ากลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
 

     เมื่อพ่อค้ากลับถึงบ้านแล้ว ก็รีบไปยังวัดพระเชตวัน เพื่อถวายผ้าทิพย์คู่นั้นแด่พระพุทธองค์ พร้อมกับกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จากนั้นร่วมกันถวายมหาทานถึง 7 วัน เพื่ออุทิศส่วนกุศลเจาะจงถึงเวมานิกเปรตผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ ด้วยผลบุญดังกล่าวทำให้นางละจากความเป็นเปรตไปบังเกิดในวิมานทองของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันโชติช่วงไปด้วยรัตนะต่าง ๆ และมีนางเทพอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร

     จะเห็นได้ว่า บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ คนมีศีล มีธรรม จะเป็นเจ้าของสมบัติ แต่คนผู้ไร้ศีลจะสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างโทษทัณฑ์แห่งการผิดศีลจะทำลายความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต และทำให้ประสบแต่ความทุกข์ยาก ความตกต่ำเรื่อยไป หากทุกคนในโลกมีหิริโอตตัปปะก็จะไม่มีใครกล้าทำผิด ยิ่งถ้าได้รู้ถึงความหายนะที่จะตามมาก็จะไม่กล้าทำชั่วแต่เพราะความไม่รู้หรือประมาทในชีวิต เนื่องจากตามใจกิเลสจนเคย ทำให้ล่วงละเมิดศีลเป็นอาจิณ

     เพราะฉะนั้น เราต้องตั้งสติให้ดี อย่าทำลายศีลของตนเอง ต้องรู้จักอดทนอดกลั้นอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อย่าเห็นแก่เงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ไม่จีรังยั่งยืน ถ้าเรารักษาศีลศีลก็จะรักษาเรา อย่าลืมว่าความทุกข์ในโลกนี้มีไม่นาน แต่เราจะไปเสวยสุขในปรโลกอีกยาวนาน คือ จะได้สมบัติใหญ่ทั้งสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัตินั่นเอง

บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/ธรรมะสอนใจ/เวมานิกเปรตผู้โดดเดี่ยว.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 16:22
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv