ชาดก 500 ชาติ

นันทชาดก-ชาดกว่าด้วยความมานะถือตัว

นันทะทาสผู้ถือดีว่าตนอยู่เหนือนาย เพราะตนเป็นผู้รู้ที่ซ่อนทรัพย์สมบัติ
 
นันทะทาสผู้ถือดีว่าตนอยู่เหนือนายเพราะตนเป็นผู้รู้ที่ซ่อนทรัพย์สมบัติ
 
    เมื่อฤดูฝนอย่างกรายมาถึงพระภิกษุทั้งหลายก็อยู่จำพรรษาตามพุทธบัญญัติ มิได้ออกเที่ยวจาริกที่ใดๆๆได้ตามปกติเป็นเวลานาน 3_เดือน ครั้นวสันตฤดูผ่านพ้นภิกษุในพระเชตะวันมหาวิหารก็พร้อมที่จะเดินทางออกไปเผยแผ่พุทธธรรมดังที่เคยกระทำต่อเนื่องกันมาอีกครั้ง พระสารีบุตรเถระอัครสาวกของพระพุทธศาสดาก็เช่นกัน
 
พระสารีบุตรปรารถนาที่จะจาริกโปรดชาวบ้าน เมื่อผ่านพ้นการอยู่จำพรรษา
 
พระสารีบุตรปรารถนาที่จะจาริกโปรดชาวบ้านเมื่อผ่านพ้นการอยู่จำพรรษา
 
    ปรารถนาแรกเมื่อผ่านพรรษานี้ก็คือการจาริกออกไปยังทักขิณาคีรีทิศใต้ของนครสาวัตถี เพื่อนำพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไปโปรดนิคมห่างไกลให้พ้นทุกข์ การเดินทางครั้งนั้นพระสารีบุตรมีสิทธิ์ติดตามไปด้วย ซึ่งเป็นภิกษุผู้ประพฤติเรียบร้อย ชาวชนบททักขิณาคีรีซึ่งก็คือจุดหมายในการออกจาริกในครั้งนี้นี่เอง
 
พระสารีบุตรมีศิษย์ผู้คอยปรนนิบัติออกติดตาม ในการเดินทางออกจาริกไปยังทักขิณาคีรี
 
พระสารีบุตรมีศิษย์ผู้คอยปรนนิบัติออกติดตามในการเดินทางออกจาริกไปยังทักขิณาคีรี
 
    “จากตรงนี้แล้ว เราจะไปทักขิณาคีรีทางใดกัน” “ศิษย์รู้จักเส้นทางแถวนี้ดี จะนำทางพระอาจารย์ไปเองนะขอรับ” ศิษย์ผู้นี้ปรนนิบัติดูแลพระสารีบุตรอย่างเคารพนอบน้อมมาตลอดทาง ดังที่เคยปฏิบัติมาในพระอารามเชตะวัน “เส้นทางนี้ขรุขระเดินลำบากยิ่งนัก ให้ศิษย์ถือของให้เถอะขอรับพระอาจารย์” จนจาริกล่วงมาจนถึงชนบทชายแดนแคว้นโกศลอย่างตั้งใจ
 
พระสารีบุตรออกจาริก โดยการนำทางของภิกษุผู้ติดตาม
 
พระสารีบุตรออกจาริกโดยการนำทางของภิกษุผู้ติดตาม
 
    กริยาอาการการของภิกษุผู้ติดตามพระอัครสาวกก็เปลี่ยนไป “ท่านนะรีบๆ เดินเข้าเถิด จะได้ถึงที่หมายเร็วๆ ผมนะเหนื่อยเต็มทนแล้วน่ะ” (ศิษย์ชาวนิคมนี้ไม่สำรวมแล้วเพราะเหตุใดกันนะ) “เหตุใดเล่าท่านจึงมุ่งหน้าเข้าพงเข้ารกอีก เขตนิวาสบ้านชาวนิคมนะอยู่ทางโน้น....เฮ้อ” “อ้อ....เป็นทางนี่หรอกรึ” “ก็ใช่นะสิ นี่ทางเข้าก็เห็นๆ กันอยู่ นี่ไงละท่าน
 
ภิกษุผู้ติดตามมีอาการไม่สำรวม เมื่อเข้าเขตนิวาสบ้านชาวนิคม
 
ภิกษุผู้ติดตามมีอาการไม่สำรวมเมื่อเข้าเขตนิวาสบ้านชาวนิคม
 
    มาเถอะ ผมจะพาท่านไปยังธรรมศาลา จะได้แสดงธรรมให้เสร็จๆ ซะที ไม่รู้ทางแล้วยังจะเดินนำอีก” พระสารีบุตรแสดงธรรมโปรดชาวชนบทชายขอบแคว้นโกศลที่แห่งนั้น จนได้เวลาสมควรแล้วก็เดินทางกลับ “โอ้ย..ต้องเดินทางกลับอีกแล้ว เมื่อยล้าเต็มทนแล้วนี่” แต่เมื่อพ้นชนบทเขตบ้านเก่าออกมา ภิกษุผู้เป็นศิษย์ก็กลับมาสู่พระอาการเป็นปกติ
 
พระสารีบุตรเดินทางกลับจากเขตนิวาส ชาวนิคมพร้อมภิกษุผู้ติดตาม
 
พระสารีบุตรเดินทางกลับจากเขตนิวาสชาวนิคมพร้อมภิกษุผู้ติดตาม
  
    ด้วยกริยาที่นอบน้อมดังเดิม “เดินระวังๆ นะขอรับพระอาจารย์ ทางลาดชันมาก” (ศิษย์ผู้นี่กลับมานอบน้อมดังเคยแล้ว น่าแปลกจริงๆ) อีกหลายวันต่อมาศิษย์ที่เคยก้าวร้าว ก็ยังเรียบร้อยเป็นปกติ มิได้เย้อหยิ่งถือดีเหมือนที่เคยกระทำในชนบทพิสัยนั้นแม้แต่น้อย “ธรรมข้อนี้ ศิษย์พิจารณาแล้วยังไม่รู้แจ้งซะที พระอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยเถอะขอรับ”
 
ภิกษุผู้ติดตามมีนิสัยนอบน้อมสำรวมดังเดิมเมื่อพ้นชนบท เขตบ้านเก่ากลับมาถึงยังพระอาราม
 
ภิกษุผู้ติดตามมีนิสัยนอบน้อมสำรวมดังเดิมเมื่อพ้นชนบทเขตบ้านเก่ากลับมาถึงยังพระอาราม
  
    (ล่วงมาบัดนี้ก็ผ่านมาตั้งหลายวัน ศิษย์ผู้นี้ก็ยังนิสัยนอบน้อมอย่างเคย เอ้....แล้วตอนจาริกเผยแผ่พระธรรม ไฉนจึงประพฤติแปลกไปเช่นนั้นละ) ความเป็นไปดังนี้คือข้อสงสัยภายในจิตใจของพระสารีบุตรเถระอยู่ตลอดเวลา “อือ...เพราะเหตุใดกันนะ อะไรที่ทำให้ศิษย์ผู้นี้ประพฤติผิดแผกไป” จนได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์คราวหนึ่ง
 
พระสารีบุตรมีข้อสงสัยภายในใจ เกี่ยวกับศิษย์ของตนเป็นยิ่งนัก
 
พระสารีบุตรมีข้อสงสัยภายในใจเกี่ยวกับศิษย์ของตนเป็นยิ่งนัก
 
    พระอัครสาวกได้นำข้อสงสัยนี้ขึ้นทูลถวายเพื่อให้ทรงไขปริศนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับแล้ว จึงโปรดพระสารีบุตรและหมู่สงฆ์ในพระวิหารว่า “ชนหมู่ใดเมื่อระลึกรู้ถึงความสำคัญที่ตนมีต่อผู้อุปการะดูแลตน เมื่อถึงวาระใช้ความสำคัญนั้นแล้ว มิได้ยำเกรงดังเคยผู้นั้นไร้ธรรม ดังนันทะทาสในอดีตชาติหนึ่งเย้อหยิ่ง วาระที่ผู้เป็นนายจำเป็นต้องพามาก่อน”
 
พระสารีบุตรได้นำข้อสงสัยขึ้นทูลถวาย เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงไขปริศนา
 
พระสารีบุตรได้นำข้อสงสัยขึ้นทูลถวายเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงไขปริศนา
  
    เมื่อได้ฟังดังนั้นพระสารีบุตรจึงอาราธนาขอให้พระพุทธองค์ทรงโปรดเล่าชาดก นันทะทาสอันกระทำดังเดียวกับผู้เป็นศิษย์กระทำไว้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงระลึกชาตินั้นด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ แล้วตรัสเล่านันทชาดก ดังนี้ ในพาราณสี นครใหญ่แห่งแคว้นกาสี ยังมีเศรษฐีชราผู้หนึ่ง เพิ่งมีบุตรกับภรรยารุ่นสาว
 
นครใหญ่แห่งแคว้นกาสีซึ่งตั้งอยู่ในเมืองพาราณสี
 
นครใหญ่แห่งแคว้นกาสีซึ่งตั้งอยู่ในเมืองพาราณสี
 
    ยิ่งบุตรโตขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทุกข์ใจด้วยความเป็นห่วงบุตรมากเท่านั้น “อีกหน่อยพอเราตาย ภรรยาก็คงหาสามีใหม่ มาผลาญทรัพย์สินจนหมดแน่ๆ เฮ้อ..” “ท่านพ่อๆ มาเล่นกันๆ” “โธ่ลูกชายของพ่อ พ่อต้องหาทางเก็บทรัพย์สมบัติไว้ให้เจ้าโดยปลอดภัยซะแล้ว” เศรษฐีผู้คิดการณ์ไกลเรียกหา นันทะ ทาสบุตรชายคนเก่าแก่ของตระกูลมาเก็บเงินทองใส่หีบไว้ได้เป็นจำนวนมาก
 
เศรษฐีชราผู้มีภรรยาสาวและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน
 
เศรษฐีชราผู้มีภรรยาสาวและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน
 
     “นันทะ เจ้าจงเอาหีบสมบัติเหล่านี้ไปฝังไว้เถิด เมื่อบุตรของเราเติบโตขึ้นเจ้าค่อยมอบมันให้เขาเพื่อเป็นทุนค้าขาย” “ได้ขอรับ ท่านเศรษฐีข้าจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเลย” “ดีมาก แล้วเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครละ จนกว่าบุตรชายเราเติบโตเป็นหนุ่ม” “ขอรับ ข้าจะเก็บเป็นความลับ ขอรับท่านเศรษฐี” “เจ้าต้องช่วยดูแลให้เขาเติบโตเป็นคนดี มีศีลธรรมและขยันหมั่นเพียร
 
เศรษฐีชราให้นันทะทาสนำสมบัติ ของตนไปฝังไว้ยังที่ปลอดภัย
 
เศรษฐีชราให้นันทะทาสนำสมบัติของตนไปฝังไว้ยังที่ปลอดภัย
  
    เพื่อรักษาทรัพย์ไว้ เราจะได้ตายตาหลับ” “ท่านเศรษฐีอย่าห่วงเลย ข้าน้อยจะดูแลนายน้อยเป็นอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แผลแม้แต่น้อยนิดก็จะไม่ให้มี แม้แต่ไฝเม็ดเดียวก็จะไม่ให้ขึ้น” “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก” ต่อมาไม่นานเศรษฐีชราก็ตายจากไป ทิ้งภรรยาสาวให้เลี้ยงดูบุตรต่อไป “โธ่ลูกแม่ พ่อเจ้าจากเราไปเสียแล้ว”
 
เศรษฐีชรากำชับนันทะทาสให้เฝ้าดูแลสมบัติ เพื่อเก็บไว้ให้ลูกชายของตน
 
เศรษฐีชรากำชับนันทะทาสให้เฝ้าดูแลสมบัติเพื่อเก็บไว้ให้ลูกชายของตน
 
    “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลย ลูกจะดูแลท่านแม่แทนท่านพ่อเอง” นันทะทาสรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับท่านเศรษฐี คอยดูแลรับใช้นายน้อยจนเติบใหญ่ขึ้นตามวัย “แม่จ๋าลูกโตพอที่จะรับเอาทรัพย์ของพ่อมาดูแลหรือยังจ๊ะ” “ยังหรอกจ๊ะ เอาไว้เจ้าโตเป็นหนุ่มก่อนเถิด” วันคืนผ่านไปนายน้อยของนันทะทาสก็เจริญวัยเป็นหนุ่มฉกรรจ์
 
เศรษฐีชราได้ตายจากไปทิ้งให้ภรรยาสาวเลี้ยงลูกชายตามลำพัง
 
เศรษฐีชราได้ตายจากไปทิ้งให้ภรรยาสาวเลี้ยงลูกชายตามลำพัง
 
    ได้ร่ำเรียนศิลปะศาสตร์การพาณิชย์จนเป็นที่พอใจของมารดา และแล้ววันสำคัญแห่งตระกูลก็มาถึง “ลูกเอ๋ย เจ้าให้คนเรียกลุงนันทะมาเถิด ถึงเวลาแล้วที่ต้องขุดสมบัติของพ่อเจ้าขึ้นมาใช้” “ห๊า..ขุดสมบัติหรือท่านแม่ ทำไม ไม่เห็นลูกรู้ความลับเรื่องนี้เลย” “พ่อเจ้าสั่งลุงนันทะเอาไว้ ว่ารอให้ลูกโตก่อนถึงจะบอกนะจ๊ะ ไปเถอะ เจ้าไปเรียกลุงนันทะมาเถิด”
 
บุตรชายเศรษฐีโตเป็นหนุ่มและได้ร่ำเรียนศิลปะศาสตร์การพาณิชย์จนเป็นที่พอใจของมารดา
 
บุตรชายเศรษฐีโตเป็นหนุ่มและได้ร่ำเรียนศิลปะศาสตร์การพาณิชย์จนเป็นที่พอใจของมารดา
  
    “นายหญิงเรียกข้าน้อยมา มีอะไรหรือขอรับ” “เราจะให้เจ้าพาลูกชายของเราไปยังที่ฝังทรัพย์ ขุดสมบัติเหล่านั้นให้เขามาดูแลเองซะที” “ได้ ขอรับ” “ต้องรบกวนลุงนันทะด้วยนะ” “ยินดี ขอรับนายน้อย ข้าน้อยจะดูแลอย่างดี” “ลุงนันทะ เรานะเริ่มเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลยแล้วกัน ท่านเตรียมตัวให้พร้อมนะ” “ได้เลย ขอรับนายน้อย ข้าน้อยเฝ้าดูแลทรัพย์สมบัติเหล่านั้นนานแล้ว
 
ภรรยาเศรษฐีบอกถึงเรื่องสมบัติ ที่บิดาเก็บไว้ให้แก่บุตรชายของตน
 
ภรรยาเศรษฐีบอกถึงเรื่องสมบัติที่บิดาเก็บไว้ให้แก่บุตรชายของตน
 
     รอคอยวันที่นายน้อยจะเติบโตเป็นหนุ่ม ยินดีจริงๆ ในที่สุดก็ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านเศรษฐีจนสำเร็จ” “เมื่อเราขุดสมบัติขึ้นมาแล้ว วานลุงนันทะ จัดคนไปขนมาเก็บด้วยเถอะนะ” “ได้ขอรับ นายน้อย” เมื่อได้เวลา นันทะทาสก็นำจอบ เสียม เครื่องมือขุดกับเสบียงเล็กน้อยมารับทายาทเศรษฐีไปสู่หมู่บ้านที่เคยนำสมบัติไปฝังไว้ด้วยกริยาสุภาพเป็นปกติ
 
บุตรชายเศรษฐีเรียกนันทะทาสเข้ามาสอบถาม เรื่องสมบัติที่บิดาเก็บไว้ให้ตน
 
บุตรชายเศรษฐีเรียกนันทะทาสเข้ามาสอบถามเรื่องสมบัติที่บิดาเก็บไว้ให้ตน
 
    ถึงชายป่าตรงโน้น ข้าน้อยจะจัดอาหารให้ขอรับนายน้อย” (นันทะทาสคนนี้ช่างดีจริงๆ ดูแลปรนนิบัติเราอย่างดี ต่อไปเราจะต้องเลี้ยงดูเขาให้มีความสุข บริวารเช่นนี้หายากยิ่งนัก) “เตรียมเดินทางต่อเถอะขอรับ นิคมที่ฝังสมบัติท่านเศรษฐีไว้ยังอีกไกล” จนแดดยามบ่ายคล้อยลง ทั้งสองนายบ่าวก็เดินเข้าสู่เขตหมู่บ้าน “ถึงหมู่บ้านที่ฝังสมบัติแล้วขอรับ”
 
บุตรชายเศรษฐีและนันทะทาส ออกเดินทางไปยังที่ฝังสมบัติ
 
บุตรชายเศรษฐีและนันทะทาสออกเดินทางไปยังที่ฝังสมบัติ
  
    “ท่านพ่อกับลุงนันทะ มาฝังซะไกลเลยนะครับ” ทันที่เดินผ่านหลักเขตศิลา นันทะทาสก็มีอาการเปลี่ยนไป “โอ้ย..เหนื่อย เอา เจ้าเอาไปแบกไปคอนซะมั่งซิ จะได้รู้รสชาติการทำงานหนักบ้าง เร็วๆ รับไปเร็วๆ อย่าให้มีน้ำโหนะ” (เอะ..นี่ลุงนันทะเป็นอะไรไปนี่) นันทะทาสเมื่อแสดงอาการหยาบกระด้างแล้ว ก็ไม่ยอมเลิกรา กลับลำเลิกบุญคุณและพูดจาตะคอกขู่เข็ญอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
 
นันทะทาสเตรียมอาหารให้บุตรชายเศรษฐี ในระหว่างพักการเดินทาง
 
นันทะทาสเตรียมอาหารให้บุตรชายเศรษฐีในระหว่างพักการเดินทาง
 
    “เฮอะๆๆ อยากได้สมบัติก็ขุดเอาเองเลย ข้าจำไม่ได้แล้วละว่า มันฝังเอาไว้ตรงไหน ฮ้า ฮ่าๆๆ อยากได้ก็หาเองแล้วกัน” “เฮ้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หยุดค้นหาเถอะ” หนุ่มทายาทเศรษฐีประหลาดใจในกริยาของนันทะทาสเป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่สั่งการขุดหาทรัพย์ ความอวดดีหยาบกระด้างก็หยุดลงด้วย” “ได้ขอรับ นายน้อย เก็บของกลับเลยนะครับ นายน้อยหิวหรือยัง ข้าน้อยจะได้หาอาหารมาให้”
 
บุตรชายเศรษฐีและนันทะทาส เดินทางมาถึงยังเขตหมู่บ้านนิคม
 
บุตรชายเศรษฐีและนันทะทาสเดินทางมาถึงยังเขตหมู่บ้านนิคม
 
    เมื่อเดินทางพ้นหมู่บ้านนิคมนั้น นันทะทาสก็นอบน้อมพูดจาไพเราะเหมือนเดิม กลับมาสู่บ้านก็ปรนนิบัติดูแลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นายน้อย น้ำ ขอรับ ข้าน้อยผสมกับน้ำผึ้งไว้ หอมหวานชื่นใจขอรับ” “มาแย่งงานเราดูแลนายน้อยตลอดเลย มันน่านัก” “อย่าบ่นน่า เจ้าก็มีเหมือนกัน ข้าเก็บไว้ให้ในครัวแล้ว” (ผ่านมาหลายวันแล้ว ลุงนันทะคงหายเครียดแล้วละมั่ง ลองชวนไปขุดสมบัติอีกดีกว่า)
 
นันทะทาสแสดงกิริยาวาจาหยาบคาย ต่อผู้บุตรเศรษฐีผู้เป็นนายตน
 
นันทะทาสแสดงกิริยาวาจาหยาบคายต่อผู้บุตรเศรษฐีผู้เป็นนายตน
 
    “ลุงนันทะ พรุ่งนี้เราไปขุดสมบัติของท่านพ่อกันเถอะ” “ได้ขอรับนายน้อย ข้าน้อยจะเตรียมของให้เรียบร้อย” และแล้วทุกสิ่งก็เป็นเช่นเดิม คือเมื่อเดินทางไปถึงบริเวณซึ่งฝังสมบัติไว้ นันทะทาสก็ทำตัวเหมือนเป็นศัตรู มิได้ให้เกียรติยำเกรงดังเคย “เดินเร็วหน่อยซิ ชักช้าอยู่ได้ หาเองแล้วกันสมบัตินะ อยากได้ก็หาเอง”
 
นันทะทาสดูแลปรนนิบัติบุตรชายเศรษฐีด้วยความนอบน้อม
 
นันทะทาสดูแลปรนนิบัติบุตรชายเศรษฐีด้วยความนอบน้อม
 
    หนุ่มน้อยจนปัญญาที่นำทรัพย์สินของบิดามาประกอบอาชีพได้ เพราะไม่รู้เหตุแห่งการก้าวร้าวของนันทะทาส (เอ้..ลุงนันทะเนี่ย ประพฤติแปลกไปอีกแล้วนะ นี่เราจะทำยังไงดีเนี่ย..อ้อ..ไปปรึกษาบัณฑิตดีกว่า) พลันเมื่อนึกถึงพราหมณ์บัณฑิตท่านหนึ่ง ทุกสิ่งก็ถูกไขปริศนาโดยง่ายดาย “มานพเอ๋ย เหตุดังนี้เป็นเพราะนันทะทาสถือว่าตนเป็นผู้เดียวที่รู้จุดฝังซ่อนสมบัติของนาย
 
บุตรชายเศรษฐีได้ชวนนันทะทาสไปขุดสมบัติอีกครั้ง
 
บุตรชายเศรษฐีได้ชวนนันทะทาสไปขุดสมบัติอีกครั้ง
 
     เมื่อตนไปถึงที่นั้น เกิดลำพองกล้าข่มขู่นายด้วยลืมตัว” “อือ..ถ้าเป็นเช่นนั้น เราควรจะทำอย่างไรดีล่ะ” “เธอจงชักชวนเขาไปขุดทรัพย์นั้นอีกครั้ง หากนันทะทาสยืนอวดดี กล่าวข่มขู่อยู่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละมีทรัพย์ฝังอยู่” “ดีจัง อย่างงี้เราก็คงได้ทรัพย์สมบัติของท่านพ่อมาทำทุนค้าขายเสียที” ชายหนุ่มกราบขอบคุณบัณฑิตผู้ทรงปัญญา
 
บุตรชายเศรษฐีได้ปรึกษากับบัณฑิตเรื่อง พฤติกรรมของนันทะทาสที่มีต่อตน
 
บุตรชายเศรษฐีได้ปรึกษากับบัณฑิตเรื่องพฤติกรรมของนันทะทาสที่มีต่อตน
  
    แล้วรีบนำนันทะทาสกลับไปนิคมที่ฝังทรัพย์ไว้ “รีบเข้าเถอะลุงนันทะ วันนี้เราต้องขุดสมบัติมาให้ได้นะ” “ขอรับนายน้อย” เมื่อผ่านเขตนิคมชนบทนั้นเข้าไปสักพัก ทันที่ที่นันทะทาสทำกริยาลำพอง หนุ่มผู้เป็นนายก็ทำตามคำสอนของบัณฑิต “อ้อนวอนก่อนซิ แล้วข้าถึงจะบอกว่าสมบัติอยู่ตรงไหน เฮอะ ฮ่าๆๆ” (เริ่มอวดดีอีกแหละ แสดงว่าต้องอยู่ตรงนั้นแน่ๆ)
 
นันทะทาสแสดงกิริยาก้าวร้าวหยาบคาย เมื่อถึงที่ฝังสมบัติของผู้เป็นนาย
 
นันทะทาสแสดงกิริยาก้าวร้าวหยาบคายเมื่อถึงที่ฝังสมบัติของผู้เป็นนาย
 
    “เอาล่ะเจ้าขุดสมบัติขึ้นมาสิ” “อูย...รู้ได้ยังไงละเนี่ย” เมื่อขุดทรัพย์นำกลับบ้านมาหมดแล้ว ทุกอย่างก็คืนสู่สภาพเดิม นันทะทาสไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือนายอีก ก็กลับมาสุภาพเรียบร้อยเหมือนที่เคยเป็นมา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสชาดกจบแล้วทรงมีอนุสติเป็นคาถาประจำชาตินี้ว่า
 
มัญเญ โสมัณณโย ราสิ โสวัณณมาลา จนันทโก
ยัตถ ทาโส อามชาโต ฐิโต ถูลาติ ตัชชติ
ทาสชื่อนันทะเป็นบุตรนางทาสี  ยืนกล่าวคำหยาบในที่ใด
เรารู้ว่ากองแห่งรัตนทั้งหลาย  และดอกไม้ทองมีอยู่ในที่นั้น
 
ในพุทธกาลสมัย นันทะทาส กำเนิดเป็น ภิกษุศิษย์พระสารีบุตร
บุตรเศรษฐี กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
พราหมณ์บัณฑิต เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
 
[[videodmc==39836]]
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-นันทชาดก.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 14:22
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv