ทำไมต้อง”บวชแต่หนุ่ม”
 
 
 บวชพระอย่างน้อย 1 พรรษา
 
บวชพระอย่างน้อย 1 พรรษา
 
 
         ประเพณีบวชแต่หนุ่ม  เมื่ออายุครบบวช  คือ  ๒๐  ปี  เป็นรากฐานที่มั่นคง  ของพระพุทธศานาในเมืองไทยมานับพันปี  ทำให้สังคมไทยเข้มแข็งด้วยศีลธรรม  ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข  แต่ปัจจุบันสิ่งนี้เริ่มเลือนหายไป  พร้อมกับความสุขและรอยยิ้มของชาวสยาม  ดังนั้นการฟื้นฟูประเพณี “บวชแต่หนุ่ม”  กลับมา  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัวผู้บวชเอง  หากถามว่า  ทำไมต้องบวชแต่หนุ่ม  หาคำตอบได้จากเรื่องราวของพระรับบาลเถระ  ดังนี้
 
          พระรัฐบาลเถระ  ผู้เป็นเลิศทางออกบวชด้วยศรัทธา   เป็นชาวแคว้นกุรุ  พรั่งพร้อมด้วยสมบัติ  ญาติมิตรและบริวารมากมาย  แต่ก็ออกบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม  ครั้นออกบวชแล้ว  ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม  จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา  ได้เดินทางกลับไปแคว้นกุรุเพื่อโปรดบิดามารดาพักอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าโกรัพยะ  ฝ่ายพระเจ้าโกรัพยะครั้นทราบข่าวจึงเสด็จไปสนทนาธรรม  ความตอนหนึ่งได้ถามถึงเหตุแห่งการบวชแต่ยังหนุ่มของท่านพระรัฐบาล  พระเถระจึงแสดงธัมมุทเทส๔ ดังนี้
 
          “มหาบพิตร  พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  ผุ้ทรงรู้ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงแสดงธัมมุทเทส ๔  ข้อ  ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว  จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต  ธัมมุทเทส ๔ ข้อเป็นไฉน  คือ
 
          ธัมมุทเทส  ข้อที่หนึ่งว่า  โลกอันชรานำเข้าไปไม่ยั่งยืน
          ธัมมุทเทส  ข้อที่สองว่า  โลกไม่มีผู้ต้านทาน  ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน
          ธัมมุทเทส  ข้อที่สามว่า  โลกไม่มีอะไรเป็นของตน  จำเป็นต้องละสิ่งทั้งปวงไป
          ธัมมุทเทส  ข้อที่สี่ว่า  โลกบกพร่องอยู่เป็นนิตย์  ไม่รู้จักอิ่มเป็นทาสแห่งตัณหา
          ดูก่อนมหาบพิตร  ธัมุทเทส  สี่ข้อนี้แล  ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว  จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต”
 
 
ความชรามาเยือน
 
ความชรามาเยือน
 
 
๑)     “โลกอันชรานำเข้าไป  ไม่ยั่งยืน
ท่านรัฐปาละกล่าวว่า “โลกอันชรานำไป  ไม่ยั่งยืน”  ก็เนื้อความแห่งภาษิตนี้จะพึงเห็นได้อย่างไร?
“ดูก่อนมหาบพิตร  มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน  มหาบพิตรเมื่อมีพระชนมายุ
๒๐ ปีก็ดี  ๒๕  ปีก็ดี  ในเรื่องช้างก็ดี  เรื่องม้าก็ดี  เรื่องรถก็ดี  เรื่องธนูก็ดี  เรื่องอาวุธก็ดี  ทรงศึกษาอย่างคล่องแคล่ว  ทรงมีกำลังพระเพลา  มีกำลังพระมาหา  มีพระวรกายสามารถ  เคยทรงเข้าสงครามมาแล้วมิใช่หรือ?”
 
          “ท่านรัฐปาละ  ข้าพเจ้าเมื่อมีอายุ  ๒๐ ปีก็ดี  ๒๕  ปีก็ดี  ในเรื่องช้างก็ดี  เรื่องม้าก็ดี เรื่องรถก็ดี  เรื่องธนูก็ดี  เรื่องอาวุธก็ดี  ได้ศึกษาอย่างคล่องแคล่ว  มีกำลังขา  มีกำลังแขน  มีตนสามารถ  เคยเข้าสงครามมาแล้ว  บางครั้งข้าพเจ้าสำคัญว่ามีฤทธิ์  ไม่เห็นใครจะเสมอด้วยกำลังของตน”
 
          “ดูก่อนมหาบพิตร  แม้เดี๋ยวนี้  มหาบพิตรก็ยังมีกำลังพระเพลา  มีกำลังพระพาหา  มีพระวรกายสามารถเข้าสงครามเหมือนเดิมได้หรือ?”
 
          “ท่านรัฐปาละ  ข้อนี้หามิได้  เดี๋ยวนี้  ข้าพเจ้าแก้แล้วเจริญวัยแล้ว  เป็นผู้ใหญ่  ล่วงกาลผ่านวัยของข้าพเจ้าล่วงเข้า  ๘๐  บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่า  “จักย่างเท้าไปทางนี้  ก็ไพล่ย่างไปทางอื่นเสีย”
 
          “ดูก่อนมหาบพิตร  เนื้อความนี้แล  ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงหมายถึง  ตรัสธัมมุทเทสข้อที่ หนึ่งว่า  “โลกอันชรานำเข้าไป  ไม่ยั่งยืน”  ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว  จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต”
 
 
ความไม่สบายทางร่างกาย
 
ความเจ็บป่วยทางร่างกาย
 
 
๒)     “โลกไม่มีผู้ต้านทาน  ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน
 
ในราชตระกูลนี้  มีหมู่พลช้าง  หมู่พลม้า  หมู่พลรถ  และหมู่พลเท้า  ที่จักป้องกันอันตรายของเราได้  ท่านรัฐปาละกลับกล่าวว่า  “โลกไม่มีผู้ต้านทาน  ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน”  หมายความว่าอย่างไร”
         
ดูก่อนมหาบพิตร  มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน  มหาบพิตรเคยทรงประชวรหนักบ้างหรือไม่”
 
          “ท่านรัฐปาละ  ข้าพเจ้าเคยเจ็บหนักอยู่  ด้วยสำคัญว่า  พระเจ้าโกรัพยะจักสวรรคต  บัดนี้  พระเจ้าโกรัพยะจักสวรรคตบัดนี้”
 
          ดูก่อนมหาบพิตร  พระองค์ได้มิตร  อำมาตย์  ญาติสาโลหิต(ที่จะขอร้อง)  ว่า  “มิตรอำมาตย์  ญาติโลหิต  ผู้เจริญของเราที่มีอยู่ทั้งหมด  จงมาช่วยแบ่งเวทนานี้ไป  โดยให้เราเสวยเวทนาเบาลง”  หรือว่า  มหาบพิตรต้องเสวยเวทนาแต่พระองค์เดียว”
 
          “ท่านนรัฐปาละ  ข้าพเจ้าจะได้มิตร  อำมาตย์  ญาติโลหิต(ที่ข้าพเจ้าขจะขอร้อง)  ว่า “มิตร  อำมาตย์  ญาติสาโลหิตที่มีอยู่ทั้งหมด  จงมาช่วยแบ่งเวทนานี้ไป  โดยให้เราได้เสวยเวทนาเบาลงไป”  หามิได้  ที่แท้  ข้าพเจ้าต้องเสวยเวทนานั้นแต่ผู้เดียว”
 
          ดูก่อนมหาบพิตร  เนื้อความนี้แล  ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงหมายถึง  ตรัสธัมมุทเทส  ข้อที่สองว่า  “โลกไม่มีผู้ต้านทานไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน”  ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว  จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต”
 
 ๓)  “โลกไม่มีอะไรเป็นของตน  จำต้องทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
 
          “ในราชตระกูลนี้  มีเงินและทองอยู่ที่พื้นดินและในอากาศมากมาย  ท่านรัฐปาละกลับกล่าวว่า  “โลกไม่มีอะไรเป็นของตน  จำต้องทิ้งสิ่งทั้งปวงไป”  หมายความว่าอย่างไร”
 
          ดูก่อนมหาบพิตร  มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน  เดี๋ยวนี้  มหาบพิตรเอิบอิ่ม  พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕  บำเรอพระองค์อยู่  ฉันใด  มหาบพิตรจักได้สมพระราชประสงค์ว่า  แม้ในโลกหน้า  เราจักเป็นผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ  ๕  บำเรอตนอยู่  ฉันนั้น  หรือว่าชนเหล่าอื่นจักปกครองโภคสมบัตินี้  ส่วนมหาบพิตรก็จักเสด็จไปตามยถากรรม”
 
          “ท่านรัฐปาละ  เดี๋ยวนี้  ข้าพเจ้าเอิบอิ่ม  พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕  บำเรอตนอยู่  ฉันใด  ข้าพเจ้าไม่ได้ตามความประสงค์ว่า  แม้ในโลกหน้า  เราจะเป็นผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕  บำเรอตนอยู่  ฉันนั้น ที่แท้  ชนเหล่าอื่นจักปกครองโภคสมบัตินี้  ส่วนข้าพเจ้าก็จักไปตามยถากรรม”
 
          “ดูก่อนมหาบพิตร  เนื้อความนี้แล  อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นผู้ทรงรู้ทรงเห็น เป็นพระอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงหมายถึงตรัสธัมมุทเทสข้อที่สามว่า  “โลกไม่มีอะไรเป็นของตน  จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป  “ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้วจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต”
 
 
ตัณหาคือความไม่รู้จักอิ่ม อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด
 
ตัณหาคือความไม่รู้จักอิ่ม อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด
 
 
๔)  “โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์  ไม่รู้จักอิ่ม  เป็นทาสแห่งตัณหา
 
          “ท่านรัฐปาละกล่าวว่า  “โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์  ไม่รู้จักอิ่ม  เป็นทาสแห่งตัณหา  “หมายความว่า
อย่างไร”
 
          “ดูก่อนมหาบพิตร  มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน  มหาบพิตรทรงครอบครองกุรุรัฐอัน    อุดมสมบรูณ์อยู่หรือ”
 
          “อย่างนั้น  ท่านรัฐปาละ  ข้าพเจ้าครอบครองกุรุรัฐอันอุดมสมบรูณ์อยู่”
 
           “มหาบพิตรจักเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน  ราชบุรุษของมหาบพิตรที่กุรุรัฐนี้  เป็นที่เชื่อถือได้  เป็นคนมีเหตุผล  พึงมาจากทิศบูรพา...  จากทิศปัจจิม...  จากทิศอุดร...  จากทิศทักษิณ...  จากสมุทรฟากโน้น  เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตรแล้วกราบทูลอย่างนี้
 
          “ขอเดชะมหาราชเจ้า  พระองค์พึงทรงทราบว่าข้าพระพุทธเจ้ามาจากทิศบูรพา...  จากทิศปัจจิม...  จากทิศอุดร...  จากทิศทักษิณ...จากสมุทรฟากโน้น  ในทิศนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นชนบทใหญ่  มั่งคั่งและอุดมสมบรูณ์  มีประชากรมาก  มีพลเมืองหนาแน่น  ในชนบทนั้น  มีพลช้าง  พลม้า  พลรถ  พลเดินเท้ามาก  มีสัตว์ที่มีเขี้ยวงามาก  มีเงินและทองทั้งที่ยังไม่ได้หลอม  ทั้งที่หลอมแล้วก็มาก  ในชนบทนั้นสตรีผู้ปกครองพระองค์  จงไปรบเอาเถิด  มหาราชเจ้า”  มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกะชนบทนั้น”
 
         “ท่านรัฐปาละ  พวกเราก็ไปรบเอาชนบทนั้นมาครอบครองเสียน่ะซิ”
 
          “ดูก่อน  มหาบพิตร  เนื้อความนี้แล  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นผู้  ทรงรู้ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหมายถึงตรัสรู้ธัมมุทเทสข้อที่สี่  ว่า
 
          “โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์  ไม่รู้จักอิ่ม  เป็นทาสแห่งตัณหา”  ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้วจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต”
 
 
อุปสมบทหมู่ 1 แสนรูปทุกหมู่บ้านทั่วไทย
 
อุปสมบทหมู่ 1 แสนรูปทุกหมู่บ้านทั่วไทย
 
 
          หากไม่รีบบวชแต่หนุ่ม  ปล่อยให้ความชรา โรคภัย วิบากกรรม  หรือตัณหาเข้าครอบงำเสียแล้ว  ก็จะหมดโอกาสที่จะได้บวชฝึกอบรมกายใจด้วยพระธรรมวินัย  อันเป็น “วิชาชีวิต”  ซึ่งสำคัญยิ่งกว่า “วิชาชีพ”  ที่เราศึกษาจากสถาบันการศึกษาเป็นไหนๆ  เพราะวิชาชีวิตนี้จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขทั้งภพชาตินี้  และชาติต่อๆ ไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม
 
 
 
 
แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า  181 - 188
 
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/แรงบันดาลใจ-จากพระไตรปิฎก/ทำไมต้อง”บวชแต่หนุ่ม”.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 23:12
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv