ปล่อยทุกอย่างวางทุกสิ่ง
ความสว่างภายในใจที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่ง
“ทำอย่างไรใจจึงจะหยุดนิ่ง?” คำถามนี้คงอยู่ในใจของนักปฎิบัติธรรมทุกคน เพราะเวลาปฏิบัติธรรม ใจของเรามักชอบวิ่งไปในอารมณ์ต่างๆ ที่คุ้นเคย และยึดติดอยู่ในอารมณ์นั้น ทำให้ใจเศร้าหมองไม่ผ่องใส เกิดความกังวลและความทุกข์ตามมาไม่จบสิ้น แต่ถ้าเราต้องการแก้ไขก็ต้องรู้จักปล่อยวางจากสิ่งต่างๆ ที่เรายึดติด แล้วอยู่กับปัจจุบันที่เราเป็น ใจก็จะเริ่มเบาสบายคลายจากความยึดมั่นที่มีอยู่
เรื่องของการปล่อยวางนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่พระพุทธองค์ ทรงเน้นย้ำอยู่เสมอ และไม่เพียงสอนให้ปล่อยวางในสิ่งที่เป็นบาปอกุศลเท่านั้น แม้ธรรมะที่พระองค์สั่งสอนก็ไม่ให้ยึดติดเพราะธรรมเหล่านั้น เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ใช้กล่อมเกลาใจของผู้ฟังให้อ่อนโยน เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนมีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง แต่เมื่อเริ่มปฏิบัติแล้วก็ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นในคำสอนต่อไป ให้ทำใจหยุดนิ่งเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
เรื่องของการปล่อยวางนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำอยู่เสมอ และไม่เพียงสอนให้ปล่อยวางในสิ่งที่เป็นบาปอกุศลเท่านั้น แม้ธรรมะที่พระองค์สั่งสอนก็ไม่ให้ยึดติดเพราะธรรมเหล่านั้น เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ใช้กล่อมเกลาใจของผู้ฟังให้อ่อนโยน เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนมีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง แต่เมื่อเริ่มปฏิบัติแล้วก็ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นในคำสอนต่อไป ให้ทำใจหยุดนิ่งเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
การล่องแพในแม่น้ำ
ในเรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสยืนยันเอาไว้ใน อลคัททูปมสูตร โดยเปรียบเทียบคำสั่งสอนของพระองค์เหมือนแพที่ใช้ข้ามฟาก เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกแพไปด้วย แพเป็นเพียงอุปกรณ์ในการนำพาเราไปถึงฝั่งที่ต้องการเท่านั้น ดังมีใจความโดยสรุปว่า...
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษคนหนึ่งเดินทางไกลมาพบแม่น้ำขวางหน้า แต่ฝั่งนี้มีอันตราย ส่วนฝั่งโน้นเป็นที่สบายปลอดภัย เรือหรือสะพานจะข้ามฝั่งก็ไม่มี บุรุษหนุ่มนั้นคิดว่าจะอยู่ช้าไม่ได้แล้วเพราะมีอันตรายรออยู่ เขาจึงรวบรวมกิ่งไม้และใบไม้มาผูกเป็นแพ แล้วพยายามถ่อแพไปจนถึงฝั่งตรงข้ามโดยปลอดภัย หลังจากนั้น เขาจึงคิดว่าแพนี้มีประโยชน์แก่เขามาก พาเขาข้ามฝั่งพ้นอันตรายมาได้ อย่ากระนั้นเลย เราแบกแพนี้ขึ้นทูนหัวไปด้วยดีกว่า แล้วเขาก็เอาแพนั้นทูนหัวเดินไป
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดว่า บุรุษนั้นทำถูกต้องหรือไม่”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
“ไม่ถูกต้อง พระเจ้าข้า ความจริงบุรุษนั้นควรผูกแพไว้ที่ริมฝั่ง หรือยกแพขึ้นมาเกยบนบก แล้วจึงเดินทางต่อไปเพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องอาศัยแพอีกแล้ว”
พระพุทธองค์ตรัสว่า
เช่นเดียวกันภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมเพื่อเป็นอุปกรณ์ให้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ดุจแพน้ำไปสู่ฝั่ง ไม่ใช่เพื่อให้ยึดมั่นถือมั่น แม้ธรรมะเรายังสอนให้ละวาง ไม่ต้องพูดถึงอธรรมเลย”
ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นของพระพุทธเจ้า
เมื่ออ่านพระสูตรนี้จบลง ใครที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตัวจริงก็คงจะซาบซึ้งดีอยู่แล้ว เพราะใจจะหยุดนิ่งได้ต้องปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ทั้งในบาปอกุศลหรือแม้แต่ธรรมะที่ได้เคยศึกษาเล่าเรียนมา ต้องทำใจให้ว่างเปล่า “ปล่อยทุกอย่าง วางทุกสิ่ง” ให้ได้จริงๆ ใจถึงจะหยุดนิ่งดิ่งเข้าสู่ความสะอาดบริสุทธิ์ภายในได้
แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า 203 - 205