CASE  STUDY
ใช้ชื่อคนอื่นจนตาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
 
 
กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ที่เคารพ

    ตั้งแต่เด็ก ตัวผมเองคบหาทีวีเป็นเพื่อนสนิท ดูช่องสถานีต่างๆ เรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ผมได้บอกเลิกคบกับทีวีทุกช่องโดยสิ้นเชิง แล้วหันมาดูแต่ DMC ช่องนี้ช่องเดียวครับ

ผมมีเรื่องราวสงครามชีวิตของคุณพ่อ ที่นำเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีนสู่แผ่นดินไทย ผจญสิ่งต่างๆมากมาย มาขอความกรุณาคุณครูไม่ใหญ่ช่วยฝันในฝันดังนี้ครับ

    คุณพ่อ เป็นบุตรชายคนโต ของคุณปู่และคุณย่า ซึ่งอพยพจากเมืองจีน คุณพ่อเกิดเมื่อปี 2481 แต่คุณปู่ไม่ได้ไปแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการ จึงไม่มีหลักฐานการเกิดของคุณพ่อที่เมืองไทย พอคุณพ่อเจริญวัยขึ้น ก็ค่อยๆฉายแววเด็กหนุ่มหน้าตาดีราวกับดาราฮ่องกง จนอายุ 11 ปี คุณย่าได้พากลับไปศึกษาต่อ ณ เกาะไหหลำบ้านเกิดของปู่ย่าที่เมืองจีน จนถึงอายุ 16 ปี ก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนที่ไหข่าว(เมืองหลวงของเกาะไหหลำ)ได้  ช่วงที่เรียนหนังสือคุณปู่ส่งเงินจากเมืองไทยมาให้เดือนละ 100 เหรียญฮ่องกง  แต่พออายุได้ 17 ปี คุณปู่ก็มาเสียชีวิต คุณพ่อจึงไม่มีเงินเรียนต่อ แต่คงด้วยบุญนารีอุปถัมภ์  คุณพ่อจึงได้แฟนคนแรกของท่าน  เข้ามาช่วยเหลือเรื่องการเงิน  ทำให้คุณพ่อเรียนต่อไปได้   คุณพ่อเรียนอยู่ที่ไหข่าวได้ 3 ปี  ก็สอบเข้าเรียนต่อได้ที่มหาวิทยาลัยกวางโจว คณะวิศวกรรมศาสตร์ เอกทางด้านบรรจุภัณฑ์อาหารกระป๋อง คุณพ่อมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมมาก เป็นคนหนุ่มหน้าตาดีฉลาดอนาคตไกล  เมื่อขึ้นเรียนปีที่สองโรงงานแห่งหนึ่งแถวไซบีเรียถึงกับมาจองตัวคุณพ่อเพื่อให้ไปทำงานที่นั่น  แต่แล้วในปีเดียวกันนั้นเอง ตรงกับ พ.ศ. 2492 ก็เกิดเหตุการณ์จุดเปลี่ยนชีวิต นั่นคือ ประเทศจีนได้ถูกเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบอบการปกครองใหม่นี้มีความเชื่อว่า คนทั้งโลกต้องทำงานเท่าเทียมกัน   เป็นอยู่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครล้ำหน้าหรือล้าหลัง     อีกทั้งไม่ให้มีการนับถือศาสนาด้วย
คุณพ่อและหนุ่มสาวทุกคนที่เรียนอยู่ ก็ต้องหยุดเรียนและถูกเกณฑ์ไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย    งานแรกคือ การใช้แรงงานขนถ่านหินจากตีนเขาไปบนยอดเขา ซึ่งคุณพ่อก็ขนอย่างลำบากยากเย็น เพราะเป็นคนผอมบาง สุขภาพไม่เอื้ออำนวย ขนไปแค่ 3 - 4 วัน คุณพ่อก็ล้มป่วย คุณพ่อคิดว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างต้องตายคากองถ่านหินอย่างแน่นอน คงด้วยบุญเก่าตามมาทัน ภาพระบบเครื่องทุ่นแรงซึ่งคุณพ่อได้เคยร่ำเรียนมา ก็มาปรากฏขึ้นในใจ คุณพ่อจึงไปนำเสนอให้ผู้ควบคุมงานทราบถึงแนวคิดใช้รอกเป็นเครื่องมือในการขนถ่านหิน คุณพ่อจึงได้เลื่อนฐานะจากคนขนถ่านหิน มาเป็นผู้คุมแรงงาน ทำให้คุณพ่อสบายขึ้น แต่ก็เป็นความสบายนิดหน่อย ในท่ามกลางความยากลำบากนานาประการของชีวิตในขณะนั้น 
 
    เมื่อเป็นอยู่ลำบากมากเข้า ประกอบกับมีบุญนารีอุปถัมภ์ครั้งที่ 2 คุณพ่อจึงวางแผนหนีกลับประเทศไทย โดยแฟนสาวคนที่สองได้ให้บิดาของเธอซึ่งมีบริษัทอยู่ในฮ่องกง ทำจดหมายขอเชิญคุณพ่อมาประชุมประจำปีของบริษัท คุณพ่อใช้โอกาสนี้ไปขออนุญาต จนได้เดินทางมาฮ่องกง แล้วก็เดินทางต่อไปยังประเทศไทย แต่เนื่องจากตอนเกิดและตอนเดินทางออกจากประเทศไทยไม่มีการทำเอกสารเป็นทางการ คุณพ่อจึงไม่มีเอกสารใดๆ พิสูจน์ได้ว่าตนเป็นผู้ถือสัญชาติไทยหรือเกิดในประเทศไทยเลย ดังนั้นคุณพ่อจึงต้องหลบเข้าประเทศไทยโดยใช้ชื่อ นามสกุล และเอกสารของคนอื่นแทน และได้ใช้ชื่อนั้นแทนตัวเองในเมืองไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การอยู่ในเมืองไทยของคุณพ่อก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เกรงคนจะรู้ว่าตนเองใช้เอกสารของคนอื่น แต่คุณพ่อก็อยากบอกว่า

    คุณพ่อได้งานทำที่โรงงานผ้าห่มไทย ขณะทำงานที่ห้องพับผ้าท่านรู้สึกปวดหัว จึงนอนพักในห้องพับผ้านั้นเอง ในขณะที่ข้างบนก็กำลังเล่นไฮโลอยู่ จู่ๆ ตำรวจก็บุกเข้ามาจับกุมพวกเล่นไฮโล คุณพ่อก็เลยติดร่างแหไปด้วย  แฟนคนที่ 3 ของคุณพ่อจึงถอดสร้อยคอทองคำไปประกันตัวคุณพ่อออกมา คุณพ่อจึงไปทำงานเป็นช่างไฟฟ้าที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ที่นี่เองคุณพ่อก็ได้รู้จักกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เธอทำงานเป็นแม่บ้านของโรงแรม คุณพ่อจึงช่วยขับรถมอเตอร์ไซด์ไปส่ง ขับส่งไปส่งมาทุกๆวัน จึงแต่งงานกัน แล้วก็ให้กำเนิดผมกับน้องสาวคนที่ 1 มา
    หลังจากคุณพ่อแต่งงานคุณแม่แล้วก็เปิดไนท์คลับอยู่แถวชลบุรี ในไนท์คลับก็มีสาวๆ รายล้อมเยอะมาก ซึ่งก็ทำให้คุณแม่ระแวง คุณแม่จึงไปแสวงหาผู้ช่วยจัดการเรื่องนี้ ก็คือคนทรงเจ้า ช่วยไปช่วยมาจนคุณแม่เกิดอาการทางประสาท  คุณแม่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หันมาดื่มเหล้า สูบบุหรี่หนัก พูดคุยอยู่คนเดียว เหมือนกับการคุยโต้ตอบกับใครสักคนอยู่ ภาษาที่คุยก็ใช้ภาษาธรรมดาบ้าง  ภาษาราชาศัพท์บ้าง บางครั้งก็ใช้ภาษากร้าวร้าวหยาบคาย  คุณพ่อพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ไม่หาย  วันหนึ่งคุณแม่หายตัวไปจากโรงพยาบาล คุณพ่อไปตามหาก็ไม่พบ   ทราบภายหลังว่าญาติพี่น้องทางแม่เป็นคนรับตัวไป แต่ปกปิดพ่อไว้ หลังจากแม่หายตัวไป 3 ปี พ่อก็แต่งงานใหม่  พ่อมาเจอแม่อีกครั้งหลังจากที่แม่หายตัวไป 10 กว่าปี  โดยญาติเป็นฝ่ายมาบอก  แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้ผูกพันกันแล้ว แม่ก็อยู่กับญาติพี่น้องตามเดิม อาการดีขึ้นมาก จำทุกคนได้ เพราะได้รับการรักษาจากโรงพยาบาล   

    ในช่วงที่แม่ป่วยนั้น ไนท์คลับของพ่อก็ถูกกลั่นแกล้งจากผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นทำให้ต้องปิดกิจการ คุณพ่อจึงไปหุ้นกับเพื่อนซื้อรถเบนซ์เพื่อใช้ขับเป็นรถรับส่งแขกของโรงแรม แต่สุดท้ายถูกเพื่อนโกง สูญทั้งเงินทั้งรถ  คุณพ่อจึงหันมาขับรถแท็กซี่ และมาพบรักใหม่  ซึ่งก็คือคุณแม่เลี้ยงของผมเองครับ มีลูกอีก 1 คน คือ น้องสาวคนสุดท้อง

    ในบั้นปลายชีวิตเมื่อคุณพ่ออายุได้ 66 ปี ก็เกิดอาการอักเสบบริเวณทวารหนัก พอไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ปลายลำไส้ใหญ่ แพทย์จึงผ่าตัดส่วนที่เป็นเนื้อร้ายทิ้งไป เย็บปิดทวารหนัก และเจาะหน้าท้องให้ใช้ขับถ่ายแทน ต่อมาก็ตรวจพบมะเร็งปอดระยะสุดท้าย และก้อนเนื้อร้ายที่ลำไส้ใหญ่ก็กลับขึ้นมาใหม่ จึงรักษาโดยการฉายแสง และเคมีบำบัด รักษาอยู่ได้ 4 เดือน คุณพ่อก็แพ้เคมีอย่างหนัก ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนพ่อเสียชีวิต  แพทย์สั่งให้เลือด 3 ถุง แต่ธนาคารเลือดที่โรงพยาบาลมีเลือดเพียง 1 ถุงเท่านั้น จึงได้รับความกรุณาจากหลวงพี่ของวัดพระธรรมกายไปบริจาคเลือดให้คุณพ่อถึง 7 รูป หลวงพี่ท่านได้ไปเทศน์โปรดคุณพ่อที่โรงพยาบาลเป็นชั่วโมง ทำให้คุณพ่อซึ่งเป็นคนไม่เชื่อนรกสวรรค์ ไม่ชอบพระภิกษุเท่าไหร่ ได้มีความเข้าใจที่ดีขึ้น สุดท้ายหลวงพี่ก็ให้คุณพ่อรับศีล 5 และหมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาทุกวัน

    2-3 คืนก่อนเสียชีวิต   คุณพ่อละเมอว่า มีคนใส่ชุดขาวจำนวนเป็นร้อยมาร่วมงานเลี้ยงใหญ่โต มีอาหารต่างๆมากมาย เขามาเชิญคุณพ่อไปร่วมงานเลี้ยง ละเมออย่างนี้เป็นชั่วโมง และอีกคืน คุณพ่อก็ละเมอว่า มีข้าวต้มจำนวนมากตกลงมาจากท้องฟ้า ต้องหาภาชนะมารองไว้ ข้าวต้มหกตกลงนอกภาชนะเต็มไปหมด    วาระสุดท้ายคุณพ่อเสียชีวิตอยู่บนเตียงในห้องนอนที่บ้าน ด้วยอายุ  68  ปี

    ตัวผมเอง ปัจจุบันเป็นอาสาสมัครแผนกธรรมโฆษก์  ผมสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดีมาก แม้ฟังเพียงครั้งเดียว แต่กลับ หลงลืมข้าวของ เบลอๆ อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งผมยังมีความรู้สึกกลัวชีวิตล้มเหลวในอนาคตอย่างมาก  เป็นมาตั้งแต่เด็ก พอเข้าวัดรู้เรื่องบุญก็ดีขึ้น แต่ยังไม่หายขาด เวลาที่สุขสบายขึ้นมา จะคอยกังวลว่าสุขสบายได้ไม่นานหรอก ต่อไปต้องเจอเรื่องหนักๆ เป็นต้น

    น้องสาวคนสุดท้อง ตอนเล็กๆ อายุใกล้จะ 1 ขวบเคยถูกตู้เก็บของล้มทับ แต่ไม่เป็นอะไรเลย เพราะตู้ที่ล้มมาทับน้องสาวมีช่องว่างอยู่ และตำแหน่งที่มาทับน้องสาว เป็นตำแหน่งของช่องว่างในตู้นั้นพอดีทำให้รอดตายมาได้ ต่อมาน้องสาวอายุจะใกล้ 13 ปีได้ไปเล่นน้ำกับเพื่อนแล้วก็ได้จมน้ำไปด้วยกัน เพื่อนจับตัวน้องสาวไว้ น้องสาวสลัดก็ไม่หลุด วินาทีที่น้องสาวนึกว่า ตายก็ตาย ช่างมัน เพื่อนก็ปล่อยมือออก น้องสาวจึงตะเกียกตะกายรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ แต่เพื่อนกลับเสียชีวิต นอกจากนี้น้องสาวยังมีอาการประหลาดคือ ตั้งแต่เด็กต้องให้เท้าเปียกน้ำตลอดเวลา ไปแช่น้ำจนเท้าเปื่อย คุณพ่อเลยหาโลชั่นมาทาให้ ตั้งแต่นั้น น้องสาวก็ต้องทาโลชั่นที่เท้าเกือบตลอดเวลาเพราะต้องการให้รู้สึกว่าเท้าเปียกตลอดเวลา

คำถาม

1.    บุญใดทำให้พ่อมีนารีมาคอยอุปถัมภ์ทุกครั้งที่ประสบภัย  คือ  ตอนที่ไม่มีเงินเรียน ก็มีแฟนคนที่ 1 มาให้เงินสนับสนุน,  ตอนที่ต้องใช้แรงงาน ก็ได้แฟนคนท ี่2 มาช่วยให้หนีไปได้ ,  ตอนที่ถูกตำรวจจับก็ได้แฟนคนที่ 3 มาประกันตัวออกไป  ,  การมีบุญที่เขากล่าวกันว่า “นารีอุปถัมภ์” นั้น เป็นเพราะสร้างบุญเฉพาะมากับสตรีหรืออธิษฐานมาอย่างไรหรือไม่ครับ

2.    กรรมใดคุณพ่อต้องใช้ชื่อของคนอื่นแทนชื่อของตนเองจนตลอดชีวิต

3.    บุญใดท่านมีฐานะดีขึ้นจากการเปิดกิจการไนต์คลับ  กรรมใดกิจการต้องถูกอิทธิพลคุกคามจนต้องปิดลง และกรรมใดท่านจึงถูกเพื่อนโกงทรัพย์สินไป

4.    กรรมใดคุณพ่อจึงเป็นมะเร็งลำไส้    ต้องถูกตัดลำไส้ และเย็บปิดทวารหนัก  และมะเร็งปอดจนเสียชีวิตครับ   เป็นเพราะบุญใดช่วงที่คุณพ่อเป็นมะเร็งไม่ค่อยเจ็บปวดทรมานครับ

5.    ที่คุณพ่อละเมอว่า มีคนใส่ชุดขาวจำนวนเป็นร้อยมาร่วมงานเลี้ยง  และละเมอว่า มีข้าวต้มจำนวนมากตกลงมาจากท้องฟ้า เป็นกรรมนิมิตหรือคตินิมิตหรือไม่ครับ คุณพ่อละโลกแล้วไปไหนครับ    ,  หลังจากคุณพ่อเสียภายในเจ็ดวัน ลูกๆได้สร้างพระให้พ่อ 3 องค์ คุณพ่อได้รับบุญนี้หรือไม่ครับ แล้วมีข้อความอะไรอยากบอกหรือเปล่า หากไม่ได้สร้างพระให้พ่อผลจะเป็นเช่นไรหลังจากละโลกไปแล้ว

6.    บุญใดทำให้คุณพ่อจึงได้รับความกรุณาจากหลวงพี่ที่วัดมาบริจาคโลหิตให้ และให้ข้อคิดทางธรรมะหลายอย่าง ทำให้คุณพ่อซึ่งเป็นคนไม่เชื่อและไม่นับถือศาสนา  ได้รู้สึกดีกับพระภิกษุในพระพุทธศาสนาขึ้นมาอย่างมากเลย ซึ่งเป็นผลดีในบั้นปลายก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตครับ

7.    คนที่เป็นต้นคิดลัทธิที่ทำให้คนไม่เชื่อและไม่นับถือศาสนาใดๆเลย    เจ้าลัทธินี้ตายแล้วไปอยู่ที่ไหนครับ   เขาไปรับผลกรรมอย่างไรครับ

8.    กรรมใดคุณแม่จึงมีอาการทางประสาท เป็นเพราะไปหาคนทรงเจ้าหรือไม่ครับ หรือเป็นมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ยังไม่สำแดงออก

9.    เหตุใดผมจึงจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี แต่กลับเป็นคนเบลอๆ  หลงลืมข้าวของและมักกังวลกับอนาคตครับ   ต้องสั่งสมบุญอย่างไร จึงจะเป็นคนไม่กังวลหรือกลัวสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นครับ

10.    น้องสาวคนสุดท้องกรรมใดมาจึงถูกตู้ล้มทับแล้วไม่เป็นอะไร ,กรรมใดจึงจมน้ำกับเพื่อน แล้วบุญใดมาช่วยไว้จึงทำให้รอดชีวิตมาได้ครับ , และกรรมใดจึงต้องให้เท้าเปียกน้ำตลอดเวลาจนติดโลชั่นมาถึงทุกวันนี้

11.    ผมกับน้องสาวคนสุดท้อง สร้างบารมีร่วมกับหมู่คณะมาอย่างไรครับ  

12.    ในพุทธันดรที่แล้ว ที่หมู่คณะลงมาสร้างบารมี  มีการมารวมกันสร้างบุญของชาวพุทธมากที่สุดจำนวนเท่าไรครับ ,  การเทศน์สอนให้คนเป็นจำนวนมากๆ ได้ยินทั่วถึงทำได้อย่างไรครับ  และใช้วิธีใดนัดหมายแจ้งข่าวตามคนมาวัดครับ  
 
กราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างสูง
 

ฝันในฝัน

หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ  ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที 
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ

1.    พ่อมี “นารีอุปถัมภ์” ทุกครั้งที่ประสบภัย  เช่น  ตอนไม่มีเงินเรียนก็มี “แฟนคนที่  1” มาให้เงินสนับสนุน  ,  ตอนที่ต้องใช้แรงงานก็มี “แฟนคนที่  2” มาช่วยให้หนีไปได้  ,  ตอนที่ถูกตำรวจจับก็มี “แฟนคนที่  3” มาช่วยประกันให้   เพราะ.....ได้สร้างบุญมากับสตรีคนนั้น ๆ และเคยได้เกื้อกูลกันมาในอดีต   กับเมื่อทำบุญใดแล้วก็มักจะอธิษฐานว่า   ขอให้มีสตรีมาอุปถัมภ์จ่ะ !

 
2.    พ่อต้องใช้ชื่อคนอื่นแทนชื่อตัวเองตลอดชีวิต   เพราะ.....ในอดีต   พ่อมีนิสัยไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญ     แต่ก็ทำด้วยความเกรงใจ ดังนั้นเมื่อมีใครมาชวนทำบุญ   ก็มักจะบอกว่าให้ใส่ชื่อคุณก็ได้    ไม่ต้องมาใส่ชื่อผม   เป็นต้นจ่ะ !     และบุญนี้จึงทำให้หนีมาอยู่เมืองไทยได้โดยใช้ชื่อคนอื่นจ่ะ !

 
3.    ท่านมีฐานะดีขึ้นจากการเปิดกิจการไนท์คลับ   เพราะ.....เป็นผลบุญที่เกิดจากการทำทานเป็นช่วง ๆ    แล้วไม่ได้อธิษฐานจิตล้อมกรอบเอาไว้     ดังนั้นเมื่อบุญส่งผล   จึงอะไรก็ได้ก็จะรวยมีฐานะ     กอปรกับมีกรรมคบคนพาลในอดีตมาส่งผลด้วย   จึงมาประกอบอาชีพนี้จ่ะ !
 

 
4.    พ่อเป็น “มะเร็งลำไส้” ต้องถูกตัดลำไส้ไป   และเย็บปิดทวารหนัก   เพราะ.....กรรมฆ่าสัตว์ทำอาหารและฆ่าขายในอดีต มารวมกับอีกชาติที่เป็นนักเลง   ได้เคยไปทำร้ายโดย “แทง” คู่อริที่ท้อง     อีกทั้งเคยเอาประทัดเสียบก้นสุนัขแล้วจุดให้ระเบิด     กับกรรมสูบบุหรี่มารวมส่งผล   ให้เป็นมะเร็งปอดจนเสียชีวิตจ่ะ !
 

 
5.    คุณพ่อละเมอว่า   มีคนใส่ชุดขาวเป็นจำนวนร้อยมาร่วมงานเลี้ยงนั้น   เป็น “คตินิมิต” ที่พ่อจะได้ไปเกิดในภพภูมิของ “ภุมมเทวาชั้นดี” จ่ะ !   
 
 

 
 
6.    คุณพ่อได้รับการบริจาคโลหิตจากหลวงพี่ที่วัด   และได้ข้อคิดทางธรรมะ    และทำให้เข้าใจพระภิกษุและพระพุทธศาสนาดีขึ้น   เพราะ.....ในอดีตเมื่อทำบุญแล้ว   ก็อธิษฐานขอให้มีลูกที่ดี     จึงทำให้มีลูกอย่างตัวลูกที่เป็นผู้มีบุญมาเกิด   แล้วคอยเป็นกัลยาณมิตรให้กับท่านในบั้นปลายได้     อีกทั้งได้บุญของลูกชายที่ทำในปัจจุบันมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานพระศาสนามานาน     จึงทำให้พระอาจารย์ท่านเมตตาดังกล่าวจ่ะ !

 
  
 
7.    คนที่เป็น “ต้นคิด” ลัทธิที่ทำให้คนไม่เชื่อและไม่นับถือศาสนาใด ๆ เลย     เจ้าลัทธินี้ตายแล้ว   ก็ไปอยู่ “โลกันตมหานรก” เพราะ.....เป็น “นิยตมิจฉาทิฐิ”   ทั้งไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ , บิดามารดามีคุณ  ,  โลกนี้โลกหน้าไม่มี  ,  ผลทานไม่มี  เป็นต้นจ่ะ!
 
 
 
8.    “คุณแม่” มีอาการทางประสาท   เพราะ.....กรรมดื่มสุราเองด้วย   และเอาเหล้าไปเซ่นไหว้   นับถือเจ้าทรงด้วยในอดีตมาส่งผลจ่ะ !     โดยเป็นมาก่อนเจอคนทรง     อีกทั้งในปัจจุบันก็มีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องของคุณพ่อจ่ะ !     จึงทำให้เกิดอาการเช่นนั้น !

 
9.    ลูกจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี   แต่มีอาการเบลอ ๆ หลงลืมข้าวของและมักกังวลเกี่ยวกับอนาคต   เพราะ.....ในอดีตเคยทำบุญแล้วอธิษฐานว่า   ขอให้มีความทรงจำเป็นเยี่ยม     แต่เวลาทำบุญมักมีจิตฟุ้งซ่านและวิตกกังวล   จึงทำให้มีอาการของคนวิตกจริตจ่ะ !
 

 
10.    “น้องสาวคนสุดท้อง” ถูกตู้ล้มทับ   แต่ไม่เป็นอะไร   เพราะ.....กรรมในอดีตชอบเอาไม้ “ตีแมลงวัน”   ไม่ว่าจะตอมอาหารหรือไม่ตอมก็ตาม  มาส่งผล     แต่ไม่เป็นอะไรเพราะยังมีบุญที่ทำไว้ในพระพุทธศาสนามาช่วยไว้จ่ะ !
 


 
11.    ลูกกับน้องสาว   สร้างบารมีกับหมู่คณะมา   โดยเป็น “กองเสบียง” ประเภทบางครั้งก็เต็มที่  ,  บางครั้งก็ตามอารมณ์จ่ะ !
 
12.    ในพุทธันดรที่ผ่านมา   มีการรวมตัวของหมู่คณะมากที่สุดหลายล้านคน     โดยไปชักชวนกันมาปากต่อปากบ้าง   ตีฆ้องร้องป่าวบ้าง     จนต่อมาก็กลายเป็นประเพณีและรับทราบกัน   โดยในยุคนั้นคนมีบุญมาเกิดกันมาก  ,  อายุก็ยืนเป็นหมื่นปี  ,  ระบบประสาทการรับรู้ทั้งหูตาก็ดีมากกว่าในยุคปัจจุบันหลายร้อยเท่า  การเทศน์สอนทำให้คนได้ยินทั่วถึง   โดยได้อยู่รวมกันในอาคารใหญ่ ๆ ที่จุคนได้ทั้งหมด  ,  ใหญ่กว่าสภาธรรมกายสากลหลายเท่านัก  ,  อีกทั้งผู้เทศน์ก็มีพลังเสียงที่ดังกังวานได้ยินทั่วถึงกันหมดโดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียงเหมือนปัจจุบันจ่ะ
 
 
 
 

บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/casestudy/2549-05-04.html
เมื่อ 27 มิถุนายน 2567 12:33
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv