ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 13


        จากตอนที่แล้ว  มโหสถได้บอกมหาชนในที่วินิจฉัยคดีว่า หญิงผู้นี้ไม่ใช่มารดาของเด็ก แต่นางเป็นยักษิณี ว่าแล้วก็ชี้มือไปที่นางยักษ์จำแลง แล้วเอ่ยถามตรงๆว่า “เจ้าเป็นใคร” นางยักษ์ก็สารภาพตามความจริงว่า ฉันเป็นยักษิณี 

        ฝูงชนที่พากันมารอฟังคำวินิจฉัยพากันแตกตื่นถามว่า “มโหสถ พ่อรู้ได้อย่างไรล่ะ” มโหสถจำต้องอธิบายว่า นางมีตาแข็งไม่กระพริบ นัยน์ตาก็สีแดงกล่ำ ซ้ำยังไม่มีเงาตัวเสียอีก มารดาที่ไหนจะมีจิตใจเหี้ยมโหดผิดมนุษย์อย่างนี้

        มโหสถเห็นนางยืนก้มหน้านิ่งก็รู้ว่า นางเริ่มสำนึกได้บ้างแล้ว  จึงกล่าวสอนด้วยจิตเมตตาให้นางยักษ์มอบเด็กคืนให้กับหญิงผู้เป็นมารดา ครั้นให้นางยักษ์ตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วก็ได้ปล่อยตัวนางยักษ์ไป

        กล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช เมื่อได้สดับคำกราบทูลเรื่องการตัดสินคดีของมโหสถบัณฑิตจบลง พระองค์ถึงกับทรงเปล่งพระอุทานขึ้นว่า  “พ่อบัณฑิตน้อยของฉัน ช่างหลักแหลมเสียจริง ไยจึงสามารถขบคิดข้อวินิจฉัยที่ลึกซึ้งและแยบยลได้ถึงเพียงนี้ ควรแล้วที่เราจะรับตัวเจ้ามาเสียที”

        ส่วนอาจารย์ท่านเสนกะซึ่งนั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็รีบกราบทูลค้านว่า  เรื่องการสอบสวนคดีนางยักษิณี ไม่มีเงื่อนงำอะไรพิเศษเลย เพราะนางยักษิณีนั่นไร้เสียซึ่งปฏิภาณต่างหากเล่า ถ้านางยอมปล่อยเสียบ้าง มโหสถจะจับเงื่อนได้จากที่ไหน พระเจ้าวิเทหราชได้สดับดังนั้น จึงต้องรับสั่งให้ทูตนำสาส์นกลับไปบอกอำมาตย์ผู้นั้นให้เฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไป

        ในกาลต่อมา มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อโคฬกาฬ เป็นคนรูปร่างต่ำเตี้ยคล้ายคนแคระ มีผิวดำดุจสีหมึก ซ้ำยังเป็นคนจนขัดสนทรัพย์เสียอีก

        ชายหนุ่มถูกฤทธิ์รักกลุ้มรุมจนจิตใจปั่นป่วน เพราะไปตกหลุมรักสาวงามนางหนึ่งชื่อ ทีฆตาลา ซึ่งอันที่จริงควรกล่าวว่าเป็นเหวรักอันลึกเสียมากกว่า เนื่องด้วยความรักของนายโคฬกาฬเป็นรักข้างเดียว เพราะความที่ตนเป็นคนขี้เหร่ ไร้เสียซึ่งรูปสมบัติ

        เมื่อเทียบกับนางทีฆตาลาแล้ว ก็ผิดกันราวฟ้ากับดิน เพราะนางเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความงามเฉกเช่นหญิงชนบทกัลยาณี แม้มิใช่ธิดามหาเศรษฐีแต่ก็เป็นหญิงมีตระกูล

        อานุภาพแห่งรักนั้น อาจดลบันดาลได้ทุกอย่าง มีอำนาจกุมชะตาของบุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรัก ให้สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ เพื่อให้ได้ครอบครองหญิงที่ตนรัก 

        นายโคฬกาฬก็เช่นกัน ในยามที่ความรักงอกงามก็หอมกรุ่นดุจกุหลาบสีชมพูแรกแย้ม แต่ครั้นมองไม่เห็นทางที่จะได้ครอบครองนางทีฆตาลา จึงได้ยอมมอบกายถวายตัวให้กับบิดามารดาของนาง สุดแต่เขาจะใช้สอย งานหนักก็เอางานเบาก็สู้ ทำเต็มที่เต็มหัวใจ ไม่มีบ่ายเบี่ยงหรือเกี่ยงงาน

        ยิ่งนานวันความดีของนายโคฬกาฬก็เริ่มปรากฏให้ได้ชื่นชมผลแห่งความเพียร ในที่สุดเมื่อครบ ๗ ปี บิดามารดาของนางทีฆตาลาเมื่อยังมองไม่เห็นใครอื่นที่จะสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวแทนตนได้ จึงตัดสินใจยกนางทีฆตาลาให้กับนายโคฬกาฬ

        นางทีฆตาลาจึงอยู่ในภาวะจำยอม ต้องอยู่กินกับนายโคฬกาฬอย่างไม่สู้เต็มใจนัก

        ครั้นนายโคฬกาฬได้นางทีฆตาลามาเป็นคู่ครองสมดังความปรารถนา ก็เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงนางด้วยดีดั่งไข่ในหิน ไม่ว่านางปรารถนาสิ่งใด ต่อให้ต้องลำบากสักเพียงใด นายโคฬกาฬก็จะต้องจัดหามาเพื่อนางเสมอมิได้ขาด

        กระทั่งวันหนึ่ง  นายโคฬกาฬเรียกภรรยามากล่าวว่า “เธอช่วยทำขนมทอดอะไรที่อร่อยๆ ให้ฉันสักหน่อยหนึ่งเถิด”

        นางจึงเอ่ยปากถามผู้เป็นสามีว่า “พี่จะให้ฉันทอดไปทำไมล่ะ” 
 
.        “ฉันจะไปเยี่ยมบิดามารดา”  นายโคฬกาฬตอบ

        นางก็กล่าวบ่ายเบี่ยงว่า “บิดามารดาของพี่ท่านไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แล้วพี่จะไปหาท่านทำไม”

        แต่ไม่ว่าภรรยาจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงความอย่างไร นายโคฬกาฬก็ยังคงขอร้องให้ภรรยาช่วยทอดขนมให้ตนจนได้ 

        เมื่อนางทอดขนมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายโคฬกาฬจึงถือเอาเสบียงและขนมของฝากเดินทางไปกับภรรยา    ในระหว่างทางได้เห็นแม่น้ำสายหนึ่ง  ซึ่งมีกระแสน้ำไหลแต่ไม่ลึกนัก แต่สองสามีภรรยานั้นเป็นคนขลาด จึงไม่กล้าลงไป ได้แต่ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ

        เวลานั้น มีชายเข็ญใจคนหนึ่งชื่อทีฆปิฏฐิ (ที-ฆะ-ปิด-ฐิ) เดินเลียบมาตามฝั่งแม่น้ำมาถึงสถานที่นั้น    สามีภรรยาเห็นชายนั้นจึงถามว่า แม่น้ำนี้ลึกหรือตื้นล่ะเพื่อน
 
        ครั้นได้ฟังดังนั้นพร้อมทั้งได้เห็นท่าทางของเขาทั้งสอง นายทีฆปิฏฐิก็รู้ว่า สองสามีภรรยานั้นไม่กล้าลงน้ำ จึงตอบไปว่า แม่น้ำนี้ลึกเหลือเกิน ปลาร้ายก็ชุกชุม

        สามีภรรยาจึงซักถามต่อไปว่า “แล้วเพื่อนข้ามไปได้อย่างไรเล่า” 
 
        ชายนั้นตอบว่า “เราคุ้นเคยกับจระเข้และปลาในแม่น้ำนี้ดี ฉะนั้น สัตว์ร้ายเหล่านี้จึงไม่ทำร้ายเรา”

        สองสามีภรรยาจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เพื่อนจงช่วยพาเราทั้งสองข้ามไปสักหน่อยจะได้ไหมเล่า” 
 
        ชายผู้นั้นก็รับคำ ลำดับนั้น สองสามีภรรยาจึงแบ่งอาหารและขนมให้แก่ชายคนนั้น เขาบริโภคอิ่มแล้วจึงถามว่า “เพื่อนจะให้เราพาใครไปก่อนละ”
        นายโคฬกาฬตอบว่า “จงพาภรรยาฉันไปก่อนเถิด แล้วจึงค่อยกลับมาพาเราไปทีหลัง”

25.    นายทีฆปิฏฐิรับคำแล้ว ก็ให้นางทีฆตาลาขึ้นขี่หลัง ถือเสบียงและของฝากทั้งหมดลงข้ามแม่น้ำ พอไปได้หน่อยหนึ่งก็แกล้งย่อตัว  เพื่อแสดงให้นายโคฬกาฬเห็นว่าน้ำลึก
 
        แต่ครั้นพานางทีฆตาลาไปถึงกลางแม่น้ำ ก็พูดเกี้ยวว่า “ฉันจะเลี้ยงดูเธออย่างดี จะไม่ให้เธอต้องลำบากกายใจ ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับจะหาให้ จะมีทาสหญิงทาสชายคอยแวดล้อมรับใช้ นายโคฬกาฬตัวเตี้ยนั้น จะบำรุงเลี้ยงดูอะไรเธอได้ เธอมาอยู่กับฉันเถิด”

        นางทีฆตาลาได้ฟังคำหวานของนายทีฆปิฏฐินั้นไม่กี่คำ ก็ตัดรักจากสามีของตน เทคะแนนรักให้แก่นายทีฆปิฏฐิผู้ที่ตนเพิ่งเห็นได้เพียงครู่เดียว จึงกล่าวตอบไปว่า “ถ้าพี่ไม่ทิ้งฉัน  ฉันจะทำตามคำของพี่ทุกอย่าง” 
 
        นายทีฆปิฏฐิกล่าวว่า “เธอพูดอะไร ฉันจะเลี้ยงดูอย่างดี อย่ากังวลเลย”    

        เมื่อคนทั้งสองนั้นไปถึงฝั่งโน้น ก็แสดงความชื่นชมยินดีต่อกัน ละทิ้งนายโคฬกาฬเสีย พากันเคี้ยวกินขนมต่อหน้านายโคฬกาฬซึ่งชะเง้อคอรออยู่ที่ฝั่งนี้ด้วยหัวใจแสนรันทดหดหู่  เมื่ออิ่มหน่ำดีแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินจากไป ฝ่ายนายโคฬกาฬเมื่อรู้ตัวว่า คราวนี้ตนถูกภรรยาทิ้งแน่ แล้วเขาจะทำอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita013.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 01:48
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv