ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 18


        จากตอนที่แล้ว  มโหสถบัณฑิตได้บอกแก่มหาชนว่า ชายเข็ญใจนั้นคือท้าวสักกเทวราช จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮากันขึ้น เพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชน มโหสถจึงหันไปถามชายเข็ญใจว่า“ท่านผู้เจริญ เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านคือท้าวสักกเทวราช ใช่หรือไม่”

        ท้าวเธอก็ตรัสตอบตรงๆ ว่า “ถูกต้องแล้ว พ่อมโหสถ เรานี่แหละ  คือท้าวสักกเทวราช”  ฝ่าย มโหสถบัณฑิต เมื่อได้ฟังคำยืนยันชัดเจนเช่นนั้น จึงทูลถามต่อไปว่า “พระองค์เสด็จมาเพียงเพื่อจะได้รถม้าซึ่งมีค่าเล็กน้อย ข้อนั้นไม่สมควรแก่เหตุเลย พระองค์จะเสด็จมาเพื่ออะไรแน่”
 
        ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสว่า “พ่อมโหสถ  เรามาในที่นี้ก็เพื่อประกาศให้มหาชนได้ประจักษ์ถึงปัญญานุภาพอันยอดยิ่งของเธอ” ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงกลับร่างเป็นเทพราชา ผู้สง่างามด้วยทิพย์อาภรณ์มีรัศมีเฉิดฉาย ทรงเหาะทะยานขึ้นสู่เบื้องบน   แล้วไปประทับยืนอยู่กลางนภากาศ  ตรัสชื่นชมปัญญาบารมีของมโหสถบัณฑิตว่า  “พ่อมโหสถ เธอวินิจฉัยความได้ดี   สมแล้วที่ใครๆ ต่างเรียกว่ามหาบัณฑิต  ทั่วผืนปฐพีนี้ ผู้ที่จะมีปัญญานุภาพรุ่งเรืองยิ่งไปกว่าเธอนั้นเป็นไม่มี”  ตรัสดังนี้แล้วก็เสด็จกลับคืนสู่เวชยันตปราสาท

        มหาอำมาตย์ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ ได้เห็นความอัศจรรย์เช่นนั้น ก็ยิ่งเกิดความปีติยินดี อยากจะกลับไปกราบทูลเรื่องนี้แด่พระเจ้าวิเทหราชด้วย
ตนเอง แต่ก็ต้องตัดใจด้วยนึกถึงพระดำรัสที่ตรัสว่า ให้รออยู่ไปจนกว่าจะมีรับสั่งให้กลับ จึงได้แต่ทำรายงานขึ้นทูลเกล้าถวายผ่านทูตคนสนิท แล้วก็เฝ้ารออยู่ในที่นั้นต่อไป

        กล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช ครั้นท้าวเธอได้ทรงสดับคำรายงานที่มหาอำมาตย์กราบบังคมทูลถวายผ่านทูตคนสนิท ก็ทรงอัศจรรย์ในพระหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทรงเห็นว่าเรื่องทำนองนี้อยู่เหนือวิสัยที่มนุษย์ปกติธรรมดาจะทำให้เกิดขึ้นได้  และก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสดับเรื่องนั้นจากท่านอำมาตย์ผู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง จึงมีรับสั่งให้เรียกตัวอำมาตย์กลับคืนสู่พระนครทันที

        ภายในท้องพระโรงของพระที่นั่งมหาปราสาทอันเป็นที่เสด็จทรงว่าราชการ   พระเจ้าวิเทหราชประทับพร้อมเหล่าเสนามนตรี ทรงประทานวโรกาสให้มหาอำมาตย์เข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่ง

        ขณะที่มหาอำมาตย์กำลังกราบทูลเรื่องที่ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาทดลองปัญญาของมโหสถอยู่นั้น ยังมิทันที่เรื่องราวทั้งหมดจะจบลง เหล่าอำมาตย์ราชบัณฑิตที่รอฟังอยู่ ต่างพากันส่งเสียงอื้ออึง  วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

        “ท่านอำมาตย์ ต่อเบื้องพระพักตร์ ท่านจะกราบทูลพล่อยๆ เช่นนี้ ไม่ได้นะท่าน” อาจารย์เสนกะกล้าทักท้วงก่อนผู้ใด

        “ท่านอาจารย์เสนกะ แน่ล่ะ การที่จะให้ท่านเชื่อถือคำพูดของข้าพเจ้าโดยทันทีทันใดนั้น คงไม่ง่ายนัก หากว่ามิได้ประสบพบเจอด้วยตนเองแล้ว ก็
ยากที่จะเข้าใจ   แต่ข้าพเจ้ากล้าสาบานต่อเบื้องพระพักตร์ด้วยสัจจะวาจาว่า  เรื่องที่ข้าพเจ้ากราบทูลไปนั้นเป็นความสัตย์จริงทุกประการ  แม้ชาวปาจีนยวมัชฌคามทั้งสิ้นก็อาจเป็นพยานได้”  ท่านอำมาตย์ถอดใจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        จริงอยู่ เหล่าอำมาตย์ราชบัณฑิตทั้งหลายในที่นั้น แม้นไม่มีใครเคยได้เห็นตัวจริงของท้าวสักกเทวราช แต่เมื่อได้ฟังคำยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น ในที่สุดจึงเริ่มพากันคล้อยตาม โดยเฉพาะพระเจ้าวิเทหราชนั้น พระองค์ทรงเชื่อมั่นในถ้อยคำของท่านอำมาตย์โดยไม่ต้องสงสัย

        “ท่านอำมาตย์” พระเจ้าวิเทหราชตรัสทักขึ้นกลางที่ประชุมด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “เมื่อท่านกล้ายืนยันถึงเพียงนี้ เราจะไม่เชื่อได้อย่างไร  ท่านเองก็รับใช้เรามานาน  เรื่องบกพร่องเสื่อมเสียสักเล็กน้อยก็ไม่เคยมี  เอาล่ะ  เราเชื่อท่าน  ไหนท่านจงเล่าต่อไปซิว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร”

        ครั้นพระองค์ทรงประทานโอกาสให้เช่นนั้น  ท่านอำมาตย์จึงไม่รอช้า รีบกราบทูลเหตุการณ์ที่ตนได้ประสบมาด้วยความปลาบปลื้มใจ แม้ท้าวเธอเอง ขณะที่ทรงสดับเรื่องนั้น ก็ทรงมีพระหฤทัยปีติปราโมทย์เช่นกัน

        เมื่อกราบทูลเรื่องราวจบลง  ท่านอำมาตย์จึงแสดงความเห็นของตนทิ้งท้ายแด่พระองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ  ธรรมดาแก้วมณีอันเลอค่า  ย่อมเป็นที่ปรารถนาของชนทั้งปวง หากแม้นผู้ใดพบแล้ว ยังไม่รีบคว้าไว้  ต่อไปภายหน้า ใครเลยจะรู้ว่า โอกาสที่จะได้ครอบครองแก้วมณีนั้น จะยังมีอยู่หรือไม่  ก็บัดนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นที่ประจักษ์แจ้ง ถึงดวงปัญญาอันยิ่งใหญ่ของมโหสถ แม้แต่ท้าวสักกเทวราชก็ยังต้องเสด็จมาเพื่อประกาศปัญญานุภาพของเขา  แล้วพระองค์เล่า จะยังทรงรั้งรอสิ่งใดอีก  ขอทรงโปรดให้เรียกตัวมโหสถเข้าเฝ้าโดยเร็วเถิดพะยะค่ะ”

        พระเจ้าวิเทหราชทรงพอพระหฤทัยในคำกราบบังคมทูลของมหาอำมาตย์ยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังไม่อาจจะตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองได้ในทันที  ด้วยทรงดำริว่า...การที่พระองค์จะเรียกตัวมโหสถเข้าเฝ้าโดยที่ยังไม่ได้ปรึกษาท่านอาจารย์เสนกะผู้เป็นหัวหน้าปุโรหิตเสียก่อนนั้น เห็นจะเป็นการไม่สมควร...พระองค์จึงผินพระพักตร์มาหาอาจารย์เสนกะ แล้วจึงตรัสหารือว่า “ว่าอย่างไรละ ท่านอาจารย์  เหตุการณ์ปรากฏชัด และน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ ท่านเห็นสมควรที่เราจะเรียกตัวมโหสถมาเข้าเฝ้าได้หรือยังล่ะ”

        ฝ่ายอาจารย์เสนกะ เมื่อได้ยินว่าท้าวสักกเทวราชได้เสด็จมาเพื่อประกาศปัญญานุภาพของมโหสถเข้าเท่านั้น ก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ  แม้ภายนอกยังคงนิ่งสงบ ท่าทีสุขุมลุ่มลึกสมเป็นราชบัณฑิตผู้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว  แต่ภาย
ในนั้นกลับรุมร้อนด้วยแรงไฟริษยาที่เผาลนจิตใจ เฝ้าครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถยับยั้งพระองค์ไว้ได้ “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงรอก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า”  ท่านเสนกะคงทูลทัดทานตามเคย  พร้อมทั้งรีบกราบทูลชี้แจงเหตุผลว่า
 
        “การที่มโหสถเป็นผู้มีปัญญามากนั้น บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว  แต่การรีบร้อนนำตัวมโหสถมาเข้าเฝ้านั้น ยังหาเป็นการสมควรไม่ ข้าพระบาทว่า อันที่จริงแล้ว มโหสถบัณฑิตก็อาศัยอยู่ในแว่นแคว้นของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นข้าบาทมูลของพระองค์อยู่นั่นเอง อีกทั้งระยะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองก็ยังสงบ  ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ล้วนอยู่เย็นเป็นสุข  ด้วยเหตุที่ปราศจากอริราชศัตรูมาช้านาน ในยามนี้จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันใด ที่พระองค์จักต้องรีบร้อนนำมโหสถบัณฑิตมาสู่ราชสำนักของพระองค์ ฉะนั้น ขอทรงรอดูอีกสักพักเถิด พระเจ้าข้า”
 
        คำพูดของอาจารย์เสนกะที่ดังช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำตามประสาบัณฑิตทำให้พระเจ้าวิเทหราชถึงกับนิ่งอึ้ง ส่วนว่าพระองค์จะรับสั่งกับอาจารย์เสนกะอย่างไรต่อนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita018.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 01:14
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv