ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 33


        จากตอนที่แล้ว  ท่านสิริวัฒกเศรษฐีได้จัดคนหนุ่มให้ตามจำนวนที่มโหสถต้องการ เมื่อคนหนุ่มเหล่านั้นมาถึง มโหสถจึงเรียกเข้ามาใกล้ๆ แล้วชี้แจงอุบายวิธีอย่างละเอียด  ชายเหล่านั้นรับคำของมโหสถอย่างแข็งขัน แล้วก็รีบกระทำตามวิธีที่มโหสถแนะนำ โดยพากันลงเล่นน้ำจนกระทั่งตาแดง สวมเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำ ผมเผ้าเปียกปอน ทั้งเนื้อทั้งตัวเลอะไปด้วยโคลนตม  ถือเชือก ก้อนดิน และท่อนไม้  พากันเดินดุ่มๆเข้าสู่พระนคร

        ครั้นมาถึงประตูพระราชนิเวศน์ นายทวารบาลก็ตะโกนถามว่า “พวกเจ้าจะพากันไปไหน”  เมื่อได้ทราบว่า เป็นชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามเท่านั้น ก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ ปล่อยให้เข้าไปแต่โดยดี ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้พระราชาเคยรับสั่งว่า ถ้าชาวปาจีนยวมัชฌคามมาก็ให้เข้าเฝ้าได้ทุกเมื่อ

        พระเจ้าวิเทหราชครั้นทอดพระเนตรเห็นชายเหล่านั้นเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยโคลนตม ก็ทรงแปลกพระทัยตรัสถามว่า “พวกเจ้ามาจากที่ไหน มีธุระอะไร ทำไมเนื้อตัวถึงได้เปรอะเปื้อนอย่างนี้”

        ชายผู้เป็นหัวหน้าจึงกราบทูลว่า“พวกข้าพระองค์มาจากบ้านปาจีนยวมัชฌคาม พระองค์เคยรับสั่งให้พวกข้าพระบาทนำสระโบกขรณีมาถวาย เพราะเหตุที่ทำตามพระบัญชาของพระองค์นั่นแหละ  ถึงได้ตกอยู่ในสภาพเปียกปอนเช่นนี้ พระเจ้าค่ะ”

        ชายผู้นั้นสังเกตเห็นพระราชาทรงเริ่มมีอาการหงุดหงิด ก็เกรงว่าจะพระองค์จะทรงพิโรธ จึงรีบกราบทูลอธิบายต่อ ตามอุบายที่มโหสถได้ชี้แจงไว้ดีแล้ว ว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ตามที่ทรงมีพระราชโองการให้ชาวปาจีนยวมัชฌคามส่งสระโบกขรณีมาถวายนั้น  บัดนี้ พวกข้าพระองค์ได้ช่วยกันนำมาแล้ว โดยเอาเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดสระไว้อย่างดี แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ พระเจ้าค่ะ”

        ท้าวเธอได้สดับดังนั้น จึงทรงประทับอยู่ด้วยพระอาการมึนงง ได้แต่รับสั่งถามว่า “แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นเล่า”

        ชายผู้เป็นหัวหน้าคณะจึงกราบทูลต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เกิดเรื่องใหญ่พระเจ้าข้า เพราะสระโบกขรณีนั้นเคยอยู่แต่ในป่า ไม่เคยได้เห็นพระราชวังมาก่อน ครั้นมาเห็นพระนครอันยิ่งใหญ่อลังการของพระองค์ก็รู้สึกตื่นกลัว   จึงพยายามดิ้นรนสุดกำลังจนเชือกขาด พอหลุดไปได้ ก็รีบเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป  พวกข้าพระองค์จึงวิ่งไล่ตาม  ต่างช่วยกันโบยตีเพื่อจะนำกลับมาถวายให้จงได้   แต่แม้จะพยายามจนสุดความสามารถแล้ว ก็ยังมิอาจนำกลับมาได้ ดังนั้น ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานสระโบกขรณีเก่าที่พระองค์นำมาจากป่า  เพื่อที่ว่าพวกข้าพระองค์จะได้นำไปผูกควบเข้ากับสระโบกขรณีใหม่ แล้วนำมาถวายเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

        ท้าวเธอรีบตรัสปฏิเสธทันใดว่า  “เราไม่เคยนำสระโบกขรณีที่ไหนมาจากป่า และก็ไม่ต้องการจะส่งสระโบกขรณีไปผูกกับอะไรทั้งนั้น”

        ชายผู้นั้นจึงกราบทูลอ้อนวอนว่า  “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกข้าพระองค์เกรงว่า หากไม่ได้รับพระราชทานสระโบกขรณีเก่าในวันนี้ เห็นทีว่าสระโบกขรณีใหม่จักหนีเตลิดเปิดเปิงไปไกล ฉะนั้น ขอทรงโปรดพระราชทานให้พวกข้าพระองค์โดยเร็วเถิดพระเจ้าค่ะ”

        ครั้นทรงสดับคำทูลอ้อนวอนที่เลื่อนลอย เหลือวิสัยที่จะเป็นไปได้ ดุจคำพร่ำเพ้อของคนวิกลจริต ท้าวเธอก็ทรงขุ่นเคืองพระทัยขึ้นทันใด   จึงตรัสข่มขู่ด้วยพระสุรเสียงกึกก้องว่า “เฮ้ย...พวกเจ้านี่ พูดอะไรชอบกล สระโบกขรณีที่ไหนจะผูกติดกันได้ หากเจ้ายังขืนพูดอะไรไม่ได้ความ เราจักให้เจ้าพนักงานลงหวายเสียเดียวนี้ล่ะ”

        พวกชาวบ้านที่ติดตามมา เมื่อรู้ว่าพระราชาทรงพิโรธพวกตนแน่ ก็ชักใจคอไม่ดี หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก  ในขณะที่ชายผู้นำคณะยังคงมีสีหน้าปกติเหมือนไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด เขากราบทูลพระเจ้าวิเทหราช ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเยือกเย็นว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า พวกข้าพระองค์เป็นตัวแทนของชาวปาจีนยวมัชฌคาม ทวยราษฎร์ผู้มีความจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างสูงสุด ชาวปาจีนยวมัชฌคามทั้งปวงต่างทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ จึงปรารถนาจะสนองพระบรมราชโองการให้สมกับที่พระองค์ทรงพระเมตตา...”

        กราบทูลถึงตรงนี้ เขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง พลางเฝ้าสังเกตดูพระพักตร์ของท้าวเธอ ซึ่งบัดนี้เห็นชัดว่าพระองค์ทรงคลายจากพระอาการพิโรธบ้างแล้ว  และดูเหมือนว่ากำลังทรงสนพระทัยในสิ่งที่เขาจะกราบทูลต่อไป

        “พวกพระองค์ได้เพียรพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะนำสระโบกขรณีมาถวายพระองค์ให้จงได้ แต่เพราะเหตุที่พวกข้าพระองค์เป็นผู้ด้อยปัญญา ด้วยความเขลาจึงสำคัญผิดไปว่า การนำสระโบกขรณีเก่ามาผูกติดกับสระโบกขรณีใหม่นั้น อาจมีช่องทางให้สำเร็จตามประสงค์ได้  พระองค์ผู้สมมุติเทพ ก็พระองค์จักเป็นผู้ยืนยันให้แจ้งชัดในที่นี้ได้หรือไม่ว่า ใครๆ ก็ไม่อาจจะผูกสระโบกขรณีให้ติดกันได้ พระเจ้าค่ะ”

        ท้าวเธอได้สดับคำกราบทูลของเขาแล้ว ก็ไม่ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องใคร่ครวญสิ่งใดอีก จึงได้ตรัสรับรองด้วยพระวาจาหนักแน่นในทันทีว่า “แน่นอนล่ะ อย่าว่าแต่จะกระทำเลย แม้เพียงแต่จะคิดก็ไม่พึงคิด”

        เขาเห็นว่าพระราชาเริ่มกล่าวเข้าทาง ซึ่งก็เป็นไปตามอุบายของมโหสถทุกประการ ในที่สุด เขาจึงตัดสินใจย้อนถามพระราชาทันทีว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ใคร่จะกราบทูลแด่พระองค์ว่า ก็ในเมื่อพระองค์ทรงมั่นพระทัยว่า ไม่มีผู้ใดจักสามารถผูกสระโบกขรณีให้ติดกันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะพึงกล่าวไปไย ถึงการนำสระโบกขรณีเข้ามาสู่พระราชวังเล่าพระเจ้าค่ะ ชาวปาจีนยวมัชฌคามผู้ขลาดเขลาอย่างข้าพระองค์ จักสามารถส่งสระโบกขรณีมาถวายได้หรือ พระเจ้าข้า”

        ท้าวเธอได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ด้วยทรงจำนนต่อเหตุผลของเขา แม้นจะทรงตระหนักดีว่า ถ้อยคำนั้นออกจะยอกย้อนอยู่ไม่น้อย แต่ฟังดูก็มีเหตุผลเข้าทีและแยบยลเกินกว่าที่พระองค์จะทรงคาดคิด  ก็ทรงทราบทันทีว่า นี่คงเป็นอุบายแก้ปัญหาของมโหสถอย่างแน่นอน พระองค์จึงไม่ตรัสถามสิ่งใดอีก เพียงแต่ทรงรับสั่งเบาๆว่า “อืมม..จริงสินะ คงไม่มีใครชะลอสระโบกขรณีมาไว้ในวังได้หรอก พวกเจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะ”  ตรัสดังนี้แล้ว ท้าวเธอก็ได้พระราชทานรางวัลให้กับชาวบ้านเหล่านั้นตามสมควร จากนั้นจึงส่งตัวเขาเหล่านั้นกลับไป

        ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามซึ่งกำลังรอคอยการกลับมาของคณะตัวแทนชาวบ้านอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นเห็นทุกคนกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน ก็พากันโล่งใจ ต่างดีใจว่าในที่สุดพวกตนก็ผ่านพ้นปัญหาที่ยากยิ่งของพระราชามาได้อีกครั้ง จึงพากันโห่ร้องยินดีด้วยความปลื้มปีติกันถ้วนหน้า ส่วนครั้งต่อไป เป็นตอนพระเจ้าวิเทหราชทรงเสด็จไปหามโหสถบัณฑิตที่ปาจีนยวมัชฌคามด้วยพระองค์เอง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามต่อไป

 พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita033.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 00:20
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv