ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 70


        จากตอนที่แล้ว  มโหสถได้กลับไปยังเรือนของตน แล้วก็วางแผนทดสอบความเป็นผู้มีศีลของนาง โดยให้สหายบริวารสามคนช่วยไปเกี้ยวนางอมรา หากสำเร็จก็จะให้เงินเดิมพันถึง 1,000 กหาปณะ

        ชายหนุ่มทั้งสามได้ผลัดกันไปทีละคน โดยคนแรกเมื่อไปถึงหน้าบ้านก็แกล้งร้องเรียกคนเฝ้าประตู นางอมราครั้นได้ยินเสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ก็รีบออกมาต้อนรับแล้วบอกกับเขาว่า  “พ่อนายออกไปข้างนอก ท่านมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ” แล้วเชื้อเชิญให้เขาขึ้นมาบนบ้าน 

        ชายหนุ่มจึงรีบฉวยโอกาสขึ้นไปนั่งบนเรือน แล้วก็เริ่มพูดเกี้ยวพาราสีนาง แม้เขาจะโปรยเสน่ห์ด้วยคารมคมคาย เว้าวอนขอความรักจากนาง หรือแม้กระทั่งเอาทรัพย์มาล่อก็ตาม แต่นางก็มิได้แสดงอาการสนใจแต่อย่างใด เพราะในใจของนางมีแต่เพียงโสมทัตเท่านั้น  เพื่อจะตัดรำคาญให้เขาสิ้นเยื่อใย นางจึงแกล้งกล่าวตำหนิชายหนุ่มว่า
 
        “ท่านเป็นผู้มีทรัพย์ สำคัญว่าคนที่มีทรัพย์สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ จริงอยู่ ทรัพย์นั้นอาจอำนวยสิ่งที่ท่านปรารถนาได้ แต่โปรดจำไว้ว่า ทรัพย์ของท่านมิอาจซื้อความรักจากใจของสตรีเช่นดิฉันได้เลย ทรัพย์ของท่านจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ท่านได้ถ่ายถอนความชั่วออกจากใจเสีย แล้วน้อมนำความดีมาใส่ไว้แทน”

พอนางกล่าวจบ ชายหนุ่มถึงกับสะอึก บังเกิดความรันทดอดสูและกระอักกระอ่วนใจ ระคนปนกันอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหตุที่ถ้อยคำของนางช่างคมคายเสียจนปลาบแปลบไปถึงหัวใจ  ราวกับถูกมีดคมบาดลึกลงที่กลางใจ แต่ครั้นจะโกรธเคืองนางก็ทำได้ไม่ถนัดนัก เพราะทุกถ้อยคำที่นางเอื้อนเอ่ย เป็นสัจวาจาแท้จริง ที่ควรค่าแก่การบูชาเสียมากกว่า

        เมื่อไม่อาจล่วงล้ำก้ำเกินนางได้ ไม่ว่าจะโดยวิธีใด ชายหนุ่มจึงเริ่มได้คิดว่า “การที่ต้องนั่งอยู่ต่อหน้านาง ยิ่งนานเพียงใด ก็ยิ่งจะเพิ่มความอัปยศอดสูให้แก่ตนเพียงนั้น ทางที่ดีตนควรจะล่าถอยกลับไปเสีย”  คิดดังนี้แล้ว เขาก็รีบลานางกลับไปทันที จากนั้นจึงได้กลับไปรายงานผลให้มโหสถทราบถึงความล้มเหลวของตน

        เมื่อมโหสถทราบว่านางยังไม่ยอมเปิดทางให้ใคร จึงสั่งให้สหายที่เหลือเปลี่ยนหน้ากันไปเกี้ยวนาง  แต่แล้วทุกคนต่างก็พกพาความผิดหวังกลับมาด้วยกันทั้งหมด  ดังนั้นในครั้งที่ ๔ มโหสถจึงสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านทั้งหลายจงฉุดนางแล้วนำมาหาเราที่นี่แหละ”  ชายเหล่านั้นก็จำต้องทำตามคำสั่งของมโหสถ

ยามนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ดวงอาทิตย์ใกล้จะอัสดง นางอมรากำลังนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องพัก ด้วยจิตใจที่จดจ่อรอคอยการกลับมาของโสมทัตผู้เป็นสามีด้วยความคิดคำนึงหา ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นจากหน้าห้องพักของนาง แต่แทนที่จะเป็นเสียงของมโหสถ กลับกลายเป็นเสียงชายหนุ่มทั้งสาม ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวอะไร ชายเหล่านั้นก็ตรงเข้าจู่โจมถึงตัวนางโดยมิทันให้รู้ตัว แล้วใช้กำลังฉุดคร่านางมา

พอมาถึงเรือนของมโหสถ นางได้แลเห็นเคหสถานอันใหญ่โตโอฬาร โอ่อ่าราวกับเวียงวัง  ก็รู้ว่าฐานะของเจ้าของเรือนคงมิใช่ธรรมดาเสียแล้ว อย่างน้อยๆก็คงเป็นถึงอำมาตย์ราชเสวกชั้นผู้ใหญ่

        ภายหลังฉุดนางมาได้ ชายเหล่านั้นก็พานางไปพบมโหสถผู้เป็นนาย นางอมราแม้มายืนอยู่เฉพาะหน้าของมโหสถ แต่ก็ยังจำโสมทัตสามีของนางไม่ได้เลย  แม้แต่จะเฉลียวใจสักนิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะเหตุที่ก่อนนั้นมโหสถได้ปลอมตัวเป็นช่างชุนธรรมดาๆ ซึ่งต่างจากมโหสถในบัดนี้ราวกับคนละคน

        นางอมราแลดูชายผู้ปรากฏกายอยู่เฉพาะหน้านางแล้ว  ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของนางก็ดังขึ้น แต่แล้วจู่ๆ นางก็กลับร้องไห้อีก

        มโหสถเห็นกิริยาที่ชวนให้ฉงนใจเช่นนั้น จึงได้ถามนางว่า “นางเสียสติไปแล้วหรือไร ไฉนเดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ ก็อะไรเป็นเหตุให้นางต้องทำอย่างนั้นเล่า”
 
        นางค่อยๆเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลคลอเบ้า พลางกลั้นความสะอื้นไว้ภายในได้สนิทแล้ว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า
 
        “นายท่าน ดิฉันเห็นสมบัติของท่านแล้ว ก็อดปลื้มใจไม่ได้ว่า  ...ผลบุญช่างน่าอัศจรรย์จริงหนอ การได้สมบัติอันมหาศาลถึงเพียงนี้ ก็เพราะผลแห่งความดีที่ท่านกระทำไว้ดีแล้วในชาติปางก่อน จึงเป็นเหตุให้ได้มาเสวยสมบัติอันประณีต
 
แต่ที่ดิฉันร้องไห้ ก็ด้วยสงสารตัวท่านนั่นแหละ เพราะบัดนี้ท่านกำลังทำกรรมอันชั่วช้าด้วยการเบียดเบียนทำร้ายสตรีที่มีผู้หวงแหน ดิฉันเกรงว่าท่านก่ออกุศลกรรมนี้แล้ว เมื่อละจากโลกนี้ไป คงไม่แคล้วต้องดำดิ่งสู่มหานรกอย่างแน่นอน”
 
        มโหสถทดลองใจของนางแล้ว ก็รู้ว่านางเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์และซื่อสัตย์ต่อตนผู้เป็นสามี จึงบังเกิดความรักและเทิดทูนนางยิ่งขึ้นอีกมากมาย  แต่ถึงกระนั้น ก็แกล้งขู่ตะคอกนางว่า “นางนี่ช่างปากดีนัก น่าจะจับตบปากเสียให้เข็ด แต่เอาเถอะ เราเห็นแก่สามีของนาง จะยอมปล่อยตัวนางไปสักคราวหนึ่ง”
 
ว่าแล้วจึงสั่งให้สหายเหล่านั้นปล่อยตัวนาง แล้วให้พากลับไปส่งที่เดิม โดยที่ยังไม่ยอมเปิดเผยความจริงให้นางทราบ แต่พอตกเย็น  มโหสถก็ปลอมตัวเป็นช่างชุนดังเดิม ครั้นแล้วก็เข้าไปหานาง และได้นอนค้างแรมอยู่กับนางไปตลอดคืนจวบจนรุ่งสาง
 
        การที่มโหสถต้องทดสอบนางมากถึงเพียงนี้ ดูเหมือนจะเป็นการทำร้ายจิตใจนางจนเกินไปหรือไม่ ทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ให้รู้ว่ารักจริงก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่น่าจะทดสอบอะไรกันมากมายขนาดนั้น  แต่มโหสถไม่คิดอย่างนั้น เพราะหากเมื่อได้นำเธอเข้ามาอยู่ในฐานะภรรยาของตนแล้ว ก็ย่อมจะอยู่ในฐานะภรรยาของมหาบัณฑิตผู้สูงส่ง ซึ่งเป็นผู้สอนธรรมะให้แก่พระราชาเลยทีเดียว

        ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องได้ภรรยาที่นอกจากจะถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติแล้ว ยังจะต้องถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ คือเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา รวมทั้งศีลธรรมอันดีงามอย่างมั่นคง จึงจะเป็นอันมั่นใจได้ว่า นางจะไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นในภายหลัง ส่วนว่า เมื่อได้มั่นใจในตัวนางอย่างเต็มหัวจิตหัวใจแล้ว มโหสถจะนำนางเข้าสู่พระราชวังด้วยอาการอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita070.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 19:18
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv