ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 80

    จากตอนที่แล้ว อาจารย์เสนกะได้มาตกหลุมคูถของนางอมรา ที่นางทำดักเอาไว้ ต่อมาไม่นานนัก อาจารย์ปุกกุสะและอาจารย์กามินทะ ก็มาตรงตามเวลานัดหมาย แล้วก็ได้ร่วงหล่นลงไปในหลุมคูถด้วยอุบายเดียวกัน
อาจารย์เสนกะครั้นได้รู้ว่าต่างคนต่างก็มาด้วยวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน ก็ถึงกับบ่นงึมงำตามประสาว่า “อืมม...  นี่สามคนแล้ว รออีกหน่อย เดี๋ยวก็คงครบชุดแน่ๆ”2

    อาจารย์เสนกะยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างของใครคนหนึ่งก็ร่วงโครมลงมากลางวง เสียงร้องโวยวายของอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์เสนกะแม้จะรู้ว่าต้องเป็นอาจารย์เทวินทะแน่ แต่ก็ยังมีแก่ใจถามว่า“นั่นอาจารย์ เทวินทะใช่ไหม”  แขกที่มาเยือนคนใหม่ก็ตอบรับว่า “ใช่”

    ครั้นแล้วอาจารย์ทั้งสามจึงถามอาจารย์เสนกะผู้เป็นหัวหน้าคณะว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ”
อาจารย์เสนกะแม้จะคับแค้นใจกว่าใคร แต่ก็ต้องข่มใจปลอบทุกคนว่า “พวกท่านอย่าบ่นนักเลย นิ่งเสียเถอะ เราจะรอดหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ความเมตตาของนางอมราแล้วล่ะ”

    อาจารย์ทั้งสามก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ยอมรับชะตากรรมยืนแซ่วคอตกอยู่ในหลุมนั้น ต่างกล้ำกลืนฝืนทนสูดดมกลิ่นอุจจาระไปจนตลอดคืน มีความรู้สึกเกิดขึ้นในใจเหมือนกันว่า “คงไม่มีราตรีกาลใดๆในชีวิต ที่จะทุกข์ทนยืดยาวเท่าราตรีนี้แล้ว”

    ครั้นรุ่งเช้า นางอมราเทวีก็ให้สาวใช้เปิดกระดานออก แล้วค่อยๆหย่อนเชือกลงไปในหลุม ขณะนั้นอาจารย์ทั้งสี่ต่างยืนทอดอาลัยอยู่ เมื่อเห็นแสงสว่างโพลงส่องลงมาจากปากหลุม ก็เริ่มมีความหวังว่าจะรอด จึงอดใจรออยู่ครู่หนึ่ง

    ครั้นเห็นเชือกเส้นใหญ่มาปรากฏอยู่ต่อหน้า ก็พากันดีใจ รีบคว้าเชือกนั้นไว้โดยไม่รีรอ แล้วจึงค่อยๆสาวขึ้นมาจากหลุมทีละคน 

    เมื่อครบทุกคนแล้ว นางอมราเทวีก็ให้บริวารนำตัวอาจารย์ทั้ง ๔ ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้หมดจด เอามีดโกนทื่อ ๆ โกนผมและหนวดจนโล้น แล้วขัดตัวด้วยแผ่นอิฐจนเลือดไหลซิบๆ จากนั้นก็ให้เอาแป้งเปียกไล้ทาจนทั่วตัว แล้วโรยนุ่นตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจนมองดูขาวโพลนไปทั้งตัว

เท่านั้นยังไม่พอ นางอมรายังสั่งให้คนใช้ช่วยกันจับอาจารย์ทั้งสี่นอนลงในกระชุ ให้ห่อด้วยเสื่อลำแพนหุ้มเสียจนมิดชิด แล้วมัดด้วยเชือกจนแน่นหนา

    พลางกล่าวกับอาจารย์ทั้ง ๔ ว่า “ดิฉันต้องขอโทษที่จำต้องทำกับพวกท่านเช่นนี้ เพราะท่านทั้งสี่เป็นถึงราชบัณฑิตของพระเจ้าวิเทหราช แต่กลับประพฤติเยี่ยงโจร กล้าขโมยเครื่องราชาภรณ์ของพระราชาโดยไม่กลัวอาญาแผ่นดิน แล้วยังจะคิดคบหาภรรยาของผู้อื่นอีก 

โทษเพียงเท่านี้ยังถือว่าน้อยนักเมื่อเทียบกับการกระทำอันหยาบช้าของพวกท่าน สิ่งที่ดิฉันกระทำแก่พวกท่านในครั้งนี้ ก็เพื่อให้หลาบจำ จะได้ไม่ไปก่อกรรมทำเข็ญแก่ใครๆอีก ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยพวกท่านให้พ้นจากนรกทีเดียว”

    อาจารย์ทั้งสี่ต่างก็มิรู้จะกล่าวเช่นไรออก จึงต่างทนนิ่งอยู่ในกระชุ  ด้วยความอดสูใจยิ่งนัก เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางอมราเทวีจึงให้บริวารช่วยกันหามกระชุเสื่อลำแพนเหล่านั้น พร้อมอัญเชิญเครื่องราชาภรณ์ทั้งสี่อย่างไปสู่ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช

    เมื่อกราบถวายบังคมท้าวเธอแล้ว นางอมราเทวีจึงได้ทูลว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ทรงรับเครื่องบรรณาการของหม่อมฉันเถิดเพคะ”แล้วนางก็ให้บริวารหามกระชุเสื่อลำแพนเหล่านั้น มาวางไว้แทบพระยุคลบาทของพระราชา ท่ามกลางความสนใจของเหล่าข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้าแน่นขนัดท้องพระโรง

ใช่แต่เพียงข้าราชบริพารของพระองค์เท่านั้นที่ใคร่จะรู้ว่าเครื่องบรรณาการนั้นคืออะไร แม้แต่พระเจ้าวิเทหราชเองก็ทรงฉงนพระทัยใคร่ที่จะทรงรู้เช่นกัน ท้าวเธอจึงมีพระดำรัสถามนางว่า “อมราเทวี นี่เครื่องบรรณาการอะไรของเจ้าหรือ”

    ท้าวเธอตรัสถามเช่นนั้นด้วยทรงเข้าพระทัยไปว่า นางนำบรรณาการมาทูลเกล้าถวายเพราะประสงค์จะขอให้พระองค์ทรงอดโทษแด่มโหสถสามีของนาง

    นางอมราเทวีจึงทูลว่า “ข้าแต่สมมุติเทพ ขอพระองค์ได้โปรดทอดพระเนตรเองเถิดเพคะ” 

    พระเจ้าวิเทหราชจึงมีรับสั่งให้ราชบุรุษช่วยกันแก้กระชุที่หุ้มด้วยเสื่อลำแพนนั้นในทันที  ครั้นเสื่อลำแพนถูกเปิดออก ท้าวเธอทอดพระเนตรครั้งแรก ก็ทรงสำคัญว่าเป็นลิงเผือกลิงทโมนที่ถูกจับมาจากป่า แต่ครั้นทรงพิจารณาดูอีกครั้ง จึงทรงแน่พระทัยว่า นั่นคงมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากอาจารย์ทั้ง  ๔  ครั้นท้าวเธอทอดพระเนตรเช่นนั้นแล้ว ก็ถึงกับทรงนิ่งอึ้ง ดำริในพระทัยว่า “นี่มันอะไรกัน” เพราะเหตุที่มิทรงทราบต้นสายปลายเหตุมาก่อน

    ส่วนบรรดาขุนนางและข้าราชบริพารทั้งหลาย แม้ยังอยู่ในระหว่างเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งในท้องพระโรง แต่พอเห็นว่าเป็นอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างก็พากันหัวเราะครื้นเครง เพราะสุดที่จะกลั้นอารมณ์ขันไว้ได้

    ในขณะที่อาจารย์ทั้งสี่นั้น ต่างพากันนั่งก้มหน้ามองดูพื้นท้องพระโรงด้วยความอัปยศอดสู อับอายขายหน้า มิกล้าเงยหน้ามองดูผู้คน อับจนหนทางแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

    การที่อาจารย์ทั้ง ๔ ต้องมาพบกับความอับอายเช่นนี้ ก็เพราะความคิดสกปรกลามกของตนเองโดยแท้ จะไปโทษใครที่ไหนเล่า แม้พวกเขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่มันก็สายเกินไปแล้ว จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับโชคชะตารอให้เวลามันผ่านไป

    การประทุษร้ายบุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายตอบนั้น เป็นกรรมหนักส่งผลเร็ว ยิ่งไปประทุษร้ายต่อพระบรมโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว ก็ย่อมได้รับผลกรรมในปัจจุบันไม่ต้องรอชาติหน้าเลย

    ดังนั้น บุคคลจึงไม่ควรคิดประทุษร้ายใคร สู้อดทนสั่งสมคุณงามความดีของเราเรื่อยไปจะดีกว่า เมื่อความดีส่งผล ชีวิตของเราก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปเอง ส่วนว่าพระราชา เมื่อทรงทราบความจริงทั้งหมดแล้วพระองค์จะทรงมีพระราชดำรัสอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita080.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 18:27
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv