ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 84

    จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบว่าบัณฑิตทั้ง ๔ ละอายที่พวกตนมีศีรษะโล้นไม่กล้าเข้าเฝ้า จึงรับสั่งให้ทำหมวกตุ้มปี่ เพื่อให้บัณฑิตเหลานั้นใช้สวมครอบศีรษะมาเข้าเฝ้าพระองค์

    เมื่ออาจารย์ทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ท้าวเธอจึงตรัสเล่าปัญหา ๔ ข้อที่เทวดาผูกขึ้น เพื่อให้อาจารย์ทั้ง ๔ ได้ช่วยกันคลี่คลาย แต่พวกเขาทั้งหมด เมื่อฟังปัญหานั้นจบลง ก็ให้รู้สึกมืดมนจนปัญญาพากันส่ายหน้า แล้วก็นั่งก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าสบพระเนตรพระเจ้าวิเทหราช

    ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราช ครั้นทรงรู้ว่า ไม่มีใครจะสามารถตอบคำถามของเทวดาได้ ก็ทรงร้อนรุ่มในพระหฤทัยเป็นที่สุด แล้วในคืนนั้นเอง ขณะที่ท้าวเธอบรรทมเหนือพระแท่น ยังไม่ทันจะเข้าสู่นิทรา เทวดาตนนั้นก็พลันปรากฏกายขึ้น พร้อมคำถามว่า “มหาราช ท่านแก้ปัญหาได้แล้วหรือ”

    ท้าวเธอรีบตรัสตอบด้วยพระอาการตื่นกลัวว่า “เราได้เรียกราชบัณฑิตทั้ง ๔ มาถามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบเลย จึงขอผลัดท่านไปอีกสักหนึ่งคืนเถอะ”

    เทวดาได้ฟังพระดำรัสของพระราชาเช่นนั้น ก็แสร้งขู่ไปว่า “บัณฑิตเหล่านั้นจะรู้อะไร เว้น มโหสถบัณฑิตเสียแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ หากคืนพรุ่งนี้ท่านยังไม่ตามตัวมโหสถมาตอบปัญหา นั่นก็หมายความว่าชีวิตของท่านจะต้องดับสูญ” กล่าวดังนี้แล้วก็หายวับไป
 
    คำข่มขู่ของเทวดาในครั้งนี้ได้ผลดังประสงค์ เพราะภายหลังจากที่พระเจ้าวิเทหราชถูกเทวดาคุกคามอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น ก็ให้ทรงหวาดหวั่นต่อมรณภัยยิ่งนัก

    ในที่สุดท้าวเธอจึงทรงกลับได้พระสติ หวนระลึกถึงมโหสถบัณฑิตผู้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์มานาน พลางรำพึงในพระทัยว่า “มโหสถเอย บัดนี้เจ้าอยู่ ณ ที่หนใดกันหนอ ไฉนเราจึงจะได้พบเจ้าอีก  ก็เจ้ามาหนีเราไปโดยไม่บอกลา แล้วคราวนี้เราจะได้ใครเป็นที่พึ่งในยามยากเช่นนี้เล่า”

    ครั้นรุ่งเช้า ท้าวเธอจึงตรัสเรียกอำมาตย์ ๔ นายมา รับสั่งว่า “เจ้าทั้ง ๔ คน จงขึ้นรถเทียมม้าไปคนละคัน แยกย้ายกันออกจากประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ แล้วจงเที่ยวค้นหาว่า บัดนี้มโหสถบัณฑิตอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด หากแม้นพบตัวมโหสถบัณฑิตในที่ใดแล้วละก็ เจ้าก็จงมอบทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมผ้า ๑ คู่ให้แก่มโหสถในที่นั้นแหละ ครั้นแล้วก็อย่าได้รีรอ รีบพาตัวมโหสถบัณฑิตกลับมาเข้าเฝ้าเราโดยเร็วที่สุด”

    อำมาตย์ทั้ง ๔ รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบสั่งให้สารถีขับรถเทียมม้า แล้วมุ่งหน้าออกทางประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศในทันที

    อำมาตย์เหล่านั้นต่างก็เที่ยวสืบเสาะข่าวคราวของมโหสถบัณฑิตเรื่อยไป ต่างติดตามไปจนทั่วทุกหัวระแหง แต่แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบมโหสถบัณฑิตเลย เว้นแต่อำมาตย์ผู้เดินทางไปยังทิศใต้สู่ทักขิณยวมัชฌคามเท่านั้น ที่ได้ยินชาวเมืองเล่าลือกันว่า “เมื่อไม่นานมานี้ มีชายหนุ่มต่างถิ่นเข้ามาขอพำนักอาศัยอยู่ที่บ้านของนายช่างหม้อ”

    ครั้นได้ยินข่าวดีเช่นนั้น อำมาตย์ผู้นั้นก็ตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านของนายช่างหม้อทันที  ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน มโหสถบัณฑิตกำลังขนดินเหนียว เตรียมไว้ให้นายช่างหม้อใช้ปั้นหม้อ ร่างกายจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินเหนียว เนื้อตัวมีเหงื่อไหลโทรมกาย

    ครั้นเสร็จภาระกิจการงานในยามสายแล้ว จึงกลับมานั่งพักบนตั่ง เตรียมบริโภคอาหารกลางวันซึ่งมีเพียงข้าวเหนียวไม่มีแกง เช่นเดียวกับลูกจ้างคนอื่นๆที่ทำงานอยู่ในบ้านช่างปั้นหม้อ 
 
มโหสถบัณฑิตแลเห็นอำมาตย์นั้นแต่ไกล ก็รู้ทันทีว่าอำมาตย์ผู้นั้นถูกพระราชาใช้ให้มาตาม หาตน  ครั้นแล้วจึงดำริต่อไปว่า “บัดนี้ได้เวลาที่เราจะกลับคืนสู่มิถิลานครเสียที เมื่อกลับไปถึงแล้ว เราก็จะได้บริโภคโภชนาหารรสเลิศที่อมราเทวีจัดเตรียมไว้เพื่อต้อนรับ”

    คิดดังนี้แล้ว มโหสถบัณฑิตจึงโยนปั้นข้าวเหนียวที่ถือไว้ทิ้งไป จากนั้นก็ลุกขึ้นไปบ้วนปาก รอจนอำมาตย์ผู้นั้นเดินเข้ามาหาใกล้ๆ  ครั้นแล้วจึงเป็นฝ่ายถามอำมาตย์ขึ้นก่อนว่า “ท่านอำมาตย์ พระราชาทรงมีพระประสงค์ให้ท่านมาจับเราหรือ”

    อำมาตย์นั้นรู้ว่าเป็นมโหสถบัณฑิตจริงๆ ก็ดีใจเป็นนักหนา รีบตอบด้วยด้วยสีหน้าเบิกบานว่า “หามิได้เลย กระผมน่ะรับพระบรมราชโองการเร่งด่วนจากเจ้าเหนือหัว ให้มาเชิญท่าน มโหสถบัณฑิตกลับกรุงมิถิลาโดยเร็ว”
 
    “จะตามกลับไปทำไมกันหรือ พระราชาต้องการจะเอาเราเข้าตะรางอย่างนั้นหรือ ” มโหสถแกล้งเย้า

    อำมาตย์ก็รีบปฏิเสธทันทีว่า “ท่านบัณฑิต ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย พระราชาทรงมีพระประสงค์จะให้ท่านช่วยเฉลยปัญหาของเทวดา เพราะในคืนก่อนท้าวเธอทรงฝันเห็นเทวดามาถามปัญหา โดยคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ในคืนนี้ ท้าวเธอทรงกังวลพระทัยอย่างหนักถึงกับบรรทมไม่หลับ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านกลับไปโดยด่วน” ว่าแล้วอำมาตย์นั้นก็เล่าเรื่องที่เทวดาผู้สิงสถิต ณ พระเศวตฉัตรได้ผูกปัญหา ๔ ข้อมาถามพระราชา 

    มโหสถบัณฑิตเมื่อทราบว่าพระราชาทรงปรารถนาจะให้ตนกลับไปสนองงาน จึงกล่าวกับอำมาตย์ว่า “นั่นอย่างไรเล่า อานุภาพแห่งปัญญา ท่านคงเห็นแล้วสิว่า มิใช่เพราะอานุภาพแห่งปัญญาดอกหรือ ที่เป็นเหตุให้พระราชาปรารถนาจะให้เรากลับไป ก็ในยามไร้ที่พึ่งพิงเช่นนี้ คงไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าปัญญาเป็นแน่ อิสริยยศแม้จะวิเศษเพียงไร ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจนำมาเปรียบกับปัญญาได้เลย”

    บุคคลผู้มีบุญบารมีที่ได้เคยสั่งสมมาในกาลก่อน แม้จะต้องตกต่ำบ้างในกาลบางคราว แต่ก็จะไม่อับเฉา เพราะเขาไม่มัวโทษเทวดาฟ้าดิน หรือโทษว่าทำไมบุญจึงไม่ช่วย ทำไมต้องเป็นเราที่ทนทุกข์อยู่คนเดียว แต่เขาจะดำรงตนอยู่ในศีลในธรรมเป็นอย่างดีด้วยปัญญา เพราะเชื่อมั่นว่า ในไม่ช้าวิกฤตนั้นก็จะผ่านพ้นไป เพราะความดีที่ทำไว้ จะต้องออกผลเป็นความสุขเสมอ เหมือนบุคคลปลูกมะม่วงมัน ย่อมออกผลเป็นมะม่วงมัน จะออกผลเป็นมะดันย่อมเป็นไปไม่ได้ ส่วนว่า เหตุการณ์ที่มโหสถจะได้กลับไปสู่พระราชวังจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
   

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita084.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 04:17
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv