ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 96
 
    จากตอนที่แล้ว อาจารย์เทวินทะได้กราบทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า “มารดาคือผู้ที่บุตรควรวางใจมากที่สุด ควรที่บุตรจะเปิดเผยความลับทุกอย่างได้โดยไม่ปิดบัง” ท้าวเธอก็ทรงเห็นด้วยกับเหตุผลของอาจารย์เทวินทะ จากนั้นจึงทรงหันมาตรัสถามมโหสถบ้างว่า “ความลับนั้นควรบอกแก่ใคร”

    มโหสถบัณฑิตก็ได้ตอบไปตามหลักการด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า  “ความลับของตนไม่ควรแพร่งพรายแก่ใครทั้งนั้น บัณฑิตทั้งหลาย เมื่อประโยชน์ที่มุ่งหมายยังไม่สำเร็จก็พึงข่มใจไว้ ต่อเมื่อประโยชน์ที่ตนมุ่งหมายสำเร็จแล้วนั่นแหละ จึงค่อยบอกแก่คนทั้งปวงได้”

    พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนี้แล้ว พระพักตร์ซึ่งผุดผ่องก็พลันหมองเศร้า พระอาการบึ้งตึงปรากฏชัดเจน เพราะทรงเกิดความคิดระแวงในตัวมโหสถขึ้นแล้วจริงๆ

    อาจารย์เสนกะสังเกตพระพักตร์ของพระราชาแล้วก็รู้ว่า “บัดนี้อุบายของตนบังเกิดผลแล้ว”
 
    ส่วนพระราชาก็ทรงทอดพระเนตรดูอาจารย์เสนกะ คล้ายกับจะทรงรับรองคำของอาจารย์เสนกะว่า “ เป็นจริงตามที่ท่านกล่าวทุกประการ”

    มโหสถบัณฑิตสังเกตเห็นกิริยาที่พระเจ้าวิเทหราชและอาจารย์เสนกะสบสายตากัน ก็ทราบทันทีว่า อาจารย์เสนกะคงกราบทูลยุยงพระราชาด้วยเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับตัวเราไว้ก่อนแล้วเป็นแน่ การที่ท้าวเธอตรัสถามปัญหาเช่นนี้กับเรา ก็เพื่อจะทดลองเราเท่านั้นเอง

    พระอาการนิ่งเฉยของพระเจ้าวิเทหราช กอปรกับบรรยากาศที่เงียบสงัดวังเวงในยามดวงอาทิตย์อัสดง ชวนให้มโหสถรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก

    มโหสถดำริในใจว่า “ขึ้นชื่อว่างานราชการเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนัก ด้วยไม่อาจรู้ได้เลยว่า ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ยังจะมีเรื่องร้ายใดๆบังเกิดขึ้นกับเราอีก อย่าเลย หากเรายังขืนช้าอยู่ ก็จะไม่เป็นการดี บัดนี้เราควรต้องรีบกลับไปเสียก่อน”

    คิดดังนี้แล้ว มโหสถบัณฑิตจึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระราชา แล้วเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่มีผู้ใดทักท้วงหน่วงเหนี่ยวเลย
 
    ครั้นมโหสถหลีกออกไปแล้ว อาจารย์เสนกะซึ่งรอโอกาสนั้นอยู่ด้วยความอึดอัดใจ จึงรีบกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชในทันทีว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เรื่องนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลพระองค์ไปแล้ว แต่พระองค์ก็มิได้ทรงเชื่อ บัดนี้เป็นอย่างไรเล่าพระพุทธเจ้าข้า คำพูดของมโหสถเมื่อสักครู่ส่อเค้าถึงความเป็นผู้มีลับลมคมในอย่างแจ่มชัด พระองค์ทรงเชื่อแล้วหรือยังว่า มโหสถกำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่อย่างมิต้องสงสัย”

    พออาจารย์เสนกะกล่าวจบ อาจารย์ที่เหลือต่างช่วยกันกระหน่ำซ้ำ เสริมส่งด้วยคำเพ็ดทูลว่า  “บัดนี้ความได้ปรากฏเป็นจริงตามที่พวกข้าพระบาทกราบทูลไว้แล้ว ควรหรือที่พระองค์จะทรงวางพระทัยในตัวมโหสถอีกต่อไป”

    คำทูลยุยงของอาจารย์ทั้ง ๔ ปรากฏผลผลดังคาดหมาย บัดนี้พระหฤทัยของพระเจ้าวิเทหราชได้โอนอ่อนตามเหตุผลของอาจารย์เหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว ท้าวเธอถึงกับทรงปักใจเชื่อว่า “มโหสถต้องคิดทรยศต่อพระองค์แน่แล้ว” ทั้งนี้เพราะมิได้ทรงพิจารณาความให้ถ้วนถี่ จึงทรงหลงเชื่อคำทูลยุยงของอาจารย์ทั้ง ๔ ทันที

    เวลานั้น ท้าวเธอทรงตื่นกลัวยิ่งนัก รีบตรัสถามอาจารย์เสนกะว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจะทำอย่างไรดีล่ะ”

   
อาจารย์เสนกะรอคำนี้มานาน ครั้นได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ก็นึกกระหยิ่มใจว่า “คราวนี้เป็นทีของข้าบ้างล่ะ เจ้าไม่รอดแน่” 
จึงกราบทูลท้าวเธอตรงๆว่า “ขอเดชะ พระองค์จะรอช้ามิได้แล้วพระพุทธเจ้าข้า ทางที่ดีพระองค์ต้องรีบกำจัดมโหสถเสียให้สิ้นซาก อย่าให้ทันรู้ตัว แล้วก็ปกปิดเรื่องนี้เสีย ไม่ควรให้อื้อฉาวออกไป ขอเพียงพระองค์รับสั่งลงมา ไม่ช้าเรื่องก็จะเรียบร้อย พระพุทธเจ้าข้า”

    ท้าวเธอก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงที่แสดงอาการน้อยพระทัยว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ นอกจากพวกท่านแล้ว เรายังไม่เห็นใครอื่นแม้คนเดียว ที่จะมีความหวังดีต่อเราเท่ากับพวกท่าน ฉะนั้นเราขอมอบธุระนี้ให้แก่ท่าน พรุ่งนี้ท่านจงชักชวนสหายไปคอยซุ่มอยู่ที่ประตูวังแต่เช้าตรู่ เมื่อมโหสถมาเฝ้าเรา ท่านก็จงรุมตัดศีรษะของมโหสถด้วยพระแสงขรรค์นี้เถิด”

    ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงพระราชทานพระขรรค์แก้ว อันเป็นพระแสงดาบประจำพระองค์ส่งให้แก่อาจารย์ทั้ง ๔

    อาจารย์ทั้ง ๔ รับเอาพระแสงขรรค์นั้นมาแล้ว ก็พากันลิงโลดดีใจ โดยเฉพาะอาจารย์เสนกะนั้น ดีใจจนแทบตัวลอย เพราะจ้องหาโอกาสแก้แค้นมโหสถให้สาแก่ใจมานานแล้ว  จึงกราบทูลท้าวเธอว่า “ขอเดชะ พระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นพระทัยไปเลย โปรดทรงวางพระราชหฤทัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้ารับอาสาจะจัดการตามพระประสงค์ทุกประการ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป มโหสถจะมิได้อยู่เป็นเสี้ยนหนาม ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอีกต่อไป พระพุทธเจ้าข้า”

    ครั้นแล้วอาจารย์ทั้ง ๔ ก็พากันถวายบังคมลาด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน เพราะความหวังที่จะได้กำจัดเสี้ยนหนามให้สิ้นซากนั้น ใกล้จะสำเร็จลงในอีกไม่ช้านี้แล้ว

    การณ์ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นบัณฑิตนั้น เมื่อถูกความริษยาเข้าครอบงำ จิตใจที่เคยสว่างไสวก็พลันเสื่อมคุณภาพกลับมืดมัว เห็นถูกเป็นผิด เห็นดำเป็นขาว คิดกำจัดได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ ไม่คิดถึงพระคุณของบุคคลผู้ที่เคยเป็นที่พึ่งให้แก่ตน ซึ่งเคยช่วยเหลือในการเฉลยปริศนา ทำให้พวกตนพ้นจากการถูกเนรเทศ  อีกครั้งที่ถูกพวกตนกล่าวร้ายจนต้องหนีภัยออกจากพระราชวังในคราวก่อน ก็ให้อภัยไม่ถือสาหาความ

    ลักษณะเช่นนี้แหละที่เขาเรียกว่า “คนพาล” พวกเขาย่อมสำคัญบาปว่าเป็นเหมือนน้ำผึ้ง นึกกระหยิ่มยิ้มย่องตลอดเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้นแหละ คนพาลก็จะประสบทุกข์  ตรงกันข้ามกับบัณฑิตที่มีจิตใจผ่องใสอยู่เป็นนิตย์ ซึ่งมีปกติไม่เพ่งโทษ ให้อภัยแก่ผู้อื่นได้เสมอ ทำประโยชน์ให้แม้ต่อบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดีต่อตน เขาย่อมเข้าถึงความสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ส่วนว่า ในวันรุ่งขึ้น มโหสถบัณฑิตจะผ่านวิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป



พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita096.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 18:28
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv