ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 98
 
    จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตได้ขอตัวออกมาจากท้องพระโรงก่อน เดินไปคิดไปว่า “อาจารย์ทั้ง ๔ ต่างกล่าวอ้างบุคคลที่แตกต่างกัน คนหนึ่งบอกว่าควรเปิดเผยความลับแก่สหาย คนหนึ่งบอกว่าพี่น้อง คนหนึ่งก็บอกว่าบุตร ส่วนอีกคนก็ว่า ควรบอกความลับแก่มารดา ชะรอยอาจารย์เหล่านี้จะต้องมีความลับส่วนตัวที่ปกปิดไว้เป็นแน่ จึงได้กล่าวจำเพาะเจาะจงถึงบุคคลนั้นๆเพียงอย่างเดียว” จึงคิดหาอุบายเพื่อจะล่วงรู้ความลับของอาจารย์เหล่านั้นให้ได้

จึงแอบไปนั่งหลบอยู่ในถังข้าวสารใบใหญ่ ที่อาจารย์ทั้ง ๔ ชอบมานั่งหารือกันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนอาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อออกมาจากท้องพระโรง ถึงตรงถังข้าวสารใบนั้น ก็พากันนั่งปรึกษากันบนถังข้าวสารด้วยความเคยชิน แล้วก็ปรึกษากันว่า วันรุ่งขึ้นใครจะเป็นคนลงมือฆ่ามโหสถ ในที่สุดอาจารย์เสนกะก็รับว่าตนจะเป็นคนลงมือเอง จากนั้นจึงถามอาจารย์ทั้งสาม ถึงเรื่องความลับว่าควรบอกแก่พี่น้อง แก่บุตรและมารดานั้น ว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยทำจริงๆ ละหรือ

    อาจารย์ทั้งสามก็รับพร้อมกันว่า เป็นเรื่องจริงที่ตนเคยบอกความลับแก่บุคคลเหล่านั้น  พลางย้อนถามอาจารย์เสนกะว่า “แล้วท่านล่ะ ได้เคยกระทำมาแล้วอย่างนั้นหรือ”
 
    ท่านเสนกะถูกถามเช่นนั้น ก็ยอมรับ แต่ก็กล่าวเลี่ยงว่า คงบอกพวกท่านไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
 
    “โถ...ท่านอาจารย์ พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาทั้งนั้น ท่านโปรดเชื่อใจกันบ้างเถิด พวกเรารับประกันว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของท่านอาจารย์เป็นอันขาด และจะช่วยกันปกปิดไว้เสมือนเป็นความลับของตนทีเดียว เชิญท่านอาจารย์เล่าเถิดนะ แล้วพวกเราก็จะเล่าความลับของพวกเราให้ท่านอาจารย์ฟังในภายหลังด้วย” อาจารย์ทั้งสามให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงใจ เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง อาจารย์เสนกะในฐานะผู้นำคณะ จึงตกลงปลงใจที่จะเล่าความลับของตนให้พรรคพวกฟัง

    แต่ถึงกระนั้น ก็ยังวางใจไม่สนิทเท่าใดนัก ด้วยเกรงว่าจะมีใครอื่นคอยดักฟังอยู่ในที่นี้    อาจารย์เสนกะจึงแกล้งเอาเล็บเคาะถังข้าว พลางกล่าวขึ้นลอยๆว่า “มโหสถแอบฟังอยู่ใต้ถังนี้กระมัง”

    "คิดมากน่าท่านอาจารย์ ท่านอย่าระแวงจนเกินไปเลย” อาจารย์ปุกกุสะแย้งขึ้นเป็นเชิงตำหนินิดๆ เพราะอยากจะฟังความลับของอาจารย์เสนกะเสียเต็มแก่ เช่นเดียวกับอาจารย์กามินทะและเทวินทะซึ่งต่างก็หูผึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาฟังด้วยความสนใจ “ท่านจะหวั่นวิตกไปทำไมกัน มโหสถน่ะเป็นคนเมายศ เมาตำแหน่งอย่างนั้น มืดค่ำป่านนี้ มโหสถก็คงจะหลงระเริงอยู่กับกองทรัพย์ศฤงคาร คงไม่เสียเวลามาสังเกตสังกาอยู่ใต้ถังข้าวเก่าๆนี้ดอก”

    “ก็จริงของพวกท่าน” อาจารย์เสนกะรำพึงเบาๆ ครั้นตัดความกังวลได้แล้ว อาจารย์เสนกะจึงค่อยๆเปิดเผยความลับของตนจนหมดเปลือก

    “เอาล่ะ เราจะเล่าให้ฟัง พวกท่านเคยรู้จักหญิงงามประจำเมืองที่ชื่อเรวดีหรือไม่ล่ะ”  อาจารย์เสนกะถามนำเพื่อเข้าสู่ประเด็นของเรื่อง
 
    “เรวดีหญิงแพศยานั่นน่ะหรือ ทำไมพวกเราจะไม่รู้จักล่ะ” อาจารย์ทั้งสามรับรอง “ไม่ว่าใคร ต่างก็ร่ำลือถึงกิตติศัพท์ในทางมีเสน่ห์ของนาง แขกบ้านแขกเมืองต่างก็รู้จักนางกันดีทั้งนั้น ชาวมิถิลามีหรือที่จะไม่รู้จัก”

    “เดี๋ยวนี้นางยังอยู่ในเมืองมิถิลาหรือเปล่า พวกท่านรู้ความเป็นไปของนางหรือไม่ล่ะ” อาจารย์เสนกะซักอีก

    “นั่นน่ะสิ นางหายหน้าไปนานมาก จนป่านนี้พวกเราก็ไม่เคยได้เห็นนางอีกเลย เอ...แล้วนี่ท่านอาจารย์ถามทำไมกัน” อาจารย์ทั้งสามถามกลับ

    “นั่นแหละความลับของข้าพเจ้าล่ะ” แล้วอาจารย์เสนกะก็เริ่มท้าวความถึงที่มาของความลับนั้น ในขณะที่อาจารย์ทั้งสามคอยลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลา

    “วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ชวนนางเรวดีนั่น ไปร่วมอภิรมย์สมสู่กันที่สวนไม้รัง บริเวณพุ่มไม้ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดผู้คน ก็ในวันนั้นเอง นางเรวดีประดับเรือนกายแพรวพรายด้วยเพชรนิลจินดาอันประมาณค่ามิได้ ตลอดศีรษะจรดปลายเท้า ข้าพเจ้าเห็นเครื่องประดับของนางแล้ว ก็อดใจไม่ไหว  เพราะมันเปล่งแสงวูบวาวดีดลูกนัยน์ตาของข้าพเจ้า ยิ่งมองก็ยิ่งอยากจะได้ ”

    อาจารย์เสนกะกล่าวถึงตรงนี้แล้ว ก็เริ่มหน้าถอดสีด้วยความไม่สบายใจ “แล้วอย่างไรท่านอาจารย์” อาจารย์ปุกกุสะเร่งเร้า

    “อืมม...ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ร่วมบันเทิงเริงรมย์กับนางพอควรแล้ว ด้วยความโลภนั่นเองจึงบันดาลให้ข้าพเจ้าตัดสินใจลงมือฆ่านางเสีย จากนั้นก็เก็บเครื่องประดับห่อผ้าไว้ บัดนี้เครื่องประดับเหล่านั้นก็ยังแขวนอยู่ที่ขอรูปงาช้างภายในเรือนของข้าพเจ้า แต่จนแล้วจนรอดข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้านำไปใช้ ทั้งเครื่องประดับนั้นก็เป็นของเก่าแล้ว”

    อาจารย์เสนกะก้มหน้านิ่ง พลางกล่าวต่อไปว่า “เฮ้อ...ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องนี้ทีไร ก็ไม่สบายใจทุกคราวไป บางครั้งถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความหวาดผวา วันดีคืนดีก็แว่วได้ยินเสียงของนางเหมือนมาตามทวงของๆนางคืน ความรู้สึกผิดต่อนางและความตื่นกลัวต่อภัยที่มองไม่เห็น ทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจจะทนเก็บความลับเอาไว้ได้ จำต้องหาทางระบาย จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้สหายรักคนหนึ่งฟัง อย่างน้อยๆก็เพื่อช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้มลงไปได้บ้าง แต่หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้บอกใครอีกเลย”

   
“อ๋อ..เพราะเหตุนี้เอง ท่านอาจารย์จึงกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่สหาย” อาจารย์กามินทะเริ่มเข้าใจ

    “ก็ใช่น่ะสิ พวกท่านฟังเรื่องของข้าพเจ้าแล้ว อย่าเที่ยวเผลอไปเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาด ถ้าความเรื่องนี้ทราบถึงพระกรรณของพระราชาเมื่อไหร่ ก็เป็นอันว่า พวกท่านกับข้าพเจ้าจะต้องแยกกันอยู่คนละโลก” อาจารย์เสนกะกำชับในตอนท้าย

    บัดนี้ ความลับอันเป็นเรื่องเลวร้ายซึ่งชี้ชะตาชีวิตของอาจารย์เสนกะ ก็มิได้เป็นความลับสำหรับมโหสถอีกต่อไปแล้ว ยังอยู่แต่เพียงความลับของอาจารย์อีก 3 ท่านที่เหลือว่าจะร้ายแรงแค่ไหน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita098.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 04:18
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv