ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 100

    จากตอนที่แล้ว หลังจากที่อาจารย์เสนกะเปิดเผยความลับของตนแล้ว ต่อมาอาจารย์ปุกกุสะก็เล่าบ้างว่า “เมื่อครั้งที่พระราชายังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงโปรดปรานกระผมมาก โดยพระองค์จะบรรทมหนุนขาของกระผมอยู่บ่อยๆ ด้วยรับสั่งแทบทุกครั้งว่า ขาของกระผมนุ่มดี แต่เหตุที่ขาของกระผมอ่อนนุ่ม ก็เพราะกระผมเป็นโรคเรื้อนที่ขา จึงใช้ผ้าหนาๆ พันปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ ความลับนี้กระผมบอกแก่น้องชายคนเดียวเท่านั้น”

    แล้วต่อมาก็ถึงวาระของอาจารย์กามินทะบ้าง “ถ้าพวกท่านไปที่บ้านของกระผมในคืนข้างแรม ๑๕ ค่ำ ก็จะได้ยินเสียงประโคมดนตรีคล้ายกับมีงานมหรสพ ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่า พอถึงวันสิ้นกาฬปักษ์ทีไร ยักษ์ชื่อว่านรเทพก็จะเข้าสิงในร่างของกระผมทุกครั้ง ถึงตอนนั้นกระผมก็จะเสียสติ ส่งเสียงร้องครวญคราง เห่าหอนเหมือนสุนัขบ้า

    เรื่องนี้ไม่มีใครทราบเลย นอกจากลูกชายของกระผมคนเดียว พอถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ กระผมก็ได้ลูกชายนี่แหละช่วยจัดการขังผมไว้ในห้อง แล้วหาดนตรีมาประโคม เพื่อจะอาศัยเสียงมหรสพนั้นกลบเสียงเห่าหอนของผม” 

    “เอาล่ะ อาจารย์เทวินทะ ถึงทีของท่านบ้าง” อาจารย์เสนกะเตือน

    “ถึงท่านอาจารย์ไม่เตือน กระผมก็ต้องเล่าอยู่แล้วล่ะ” อาจารย์เทวินทะเสียงอ่อน  ครั้นแล้วจึงเริ่มเปิดเผยความลับของตนเป็นลำดับสุดท้ายว่า “ท่านทั้งหลายสังเกตหรือไม่ว่า ในเวลาที่ไปเข้าเฝ้าพระราชาพร้อมกัน ท้าวเธอเป็นต้องทรงทักทายปราศรัยกับกระผมก่อนใครๆทั้งหมดทีเดียว  ไม่ใช่เพียงนั้น ท้าวเธอยังทรงโปรดปรานกระผมมากเป็นพิเศษ และมักจะพระราชทานรางวัลให้กระผมทุกๆวัน วันละ ๘ กหาปณะบ้าง ๑๖ กหาปณะบ้าง บางครั้งก็มากถึง ๒๖ กหาปณะ”

    “มัวแต่อารัมภบทอยู่นั่นหละ เลยไม่รู้ซะทีว่าความลับของท่านคืออะไร” อาจารย์ปุกกุสะใจร้อน พาลต่อว่าต่อขานอาจารย์เทวินทะยกใหญ่

    “อา....นี่ล่ะ ความลับของกระผมล่ะ ถ้าหากไม่คิดว่า กระผมกับท่านทั้งหลายได้ร่วมหัวจมท้าย ร่วมเป็นร่วมตายกันมา กระผมจะไม่เผยเคล็ดลับนี้เป็นอันขาด”

    “เคล็ดลับอะไรเล่า ท่านเทวินทะ ก็รีบบอกมาซะทีซิ” อาจารย์กามินทะถามด้วยอาการชักหงุดหงิด

    “ก็ใจเย็นๆ หน่อยซิ เหตุที่พระราชาทรงเห็นความสำคัญของกระผมก่อนใคร ก็เพราะอานุภาพของดวงแก้วมณีซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากพระเจ้าปู่กุสราช ท่านทั้งหลายก็รู้นี่ว่า แก้วมณีดวงนี้แต่เดิมเป็นของท้าวสักกเทวาธิราชจอมเทพแห่งดาวดึงส์พิภพ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า อานุภาพแห่งแก้วมณีนี้จะอำนวยสวัสดิมงคลแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของครอบครองอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว”

    “เอ...แล้วท่านไปได้ดวงแก้วมณีนี้มาได้อย่างไร พระราชาทรงโปรดพระราชทานให้เฉพาะท่านผู้เดียวอย่างนั้นหรือ” อาจารย์กามินทะชักสงสัย

    “ใช่ที่ไหนกันเล่า ของมงคลอย่างนี้ ใครเขาจะมอบให้กันง่ายๆ ท่านอย่าด้นเดาไปเลย ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง”
 
    ว่าแล้วอาจารย์เทวินทะก็ย้อนอดีตของตนให้ทุกคนฟังว่า “มีอยู่คราวหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงมอบหมายให้กระผมนำดวงแก้วมณีของพระองค์มาขัดให้สะอาด กระผมรู้ว่าแก้วมณีดวงนี้เป็นของมงคล จึงคิดอยากจะครอบครองไว้เสียเอง ในที่สุดจึงตัดสินใจขโมยดวงแก้วมณีนั้นมาด้วยอุบายที่มิให้พระองค์ทราบได้

    ครั้นแล้วจึงนำไปมอบให้มารดาของกระผมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าเฝ้า มารดาก็จะนำดวงแก้วมณีนั้นมามอบให้ผมติดตัวไว้แทบทุกครั้ง

    ท่านเอย ไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเวลาที่กระผมเข้าเฝ้า แก้วมณีดวงนี้จะสามารถบันดาลอานุภาพดึงดูดทรัพย์สมบัติให้กระผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าจะว่าไปแล้วเรื่องอานุภาพของแก้วมณีนี้ ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย แม้แต่พระราชาเองก็ไม่ทรงทราบ

    เห็นจะมีแต่มารดาของกระผมเท่านั้นที่รู้ แต่ถึงอย่างไรผมก็มั่นใจว่ามารดาย่อมไม่คิดทำลายลูก มีแต่จะสนับสนุนส่งเสริมลูกให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป ดังนั้น ผมจึงกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่มารดาเท่านั้น”

    เรื่องราวอันเป็นความลับเฉพาะตนที่อาจารย์ทั้ง ๔ นำมาเล่าสู่กัน ไม่ต่างอะไรกับคนโง่เขลาเบาปัญญา ที่ผ่าอกของตนแล้วสาวไส้ออกมาพร้อมจะให้หมู่นกกาจิกกิน

    ช่างน่าสงสารอาจารย์เหล่านั้น ที่หารู้ไม่ว่ามโหสถกำลังแอบฟังความลับทั้งหมดของพวกตนอยู่ในถังข้าวใบนั้นเอง  ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเงี่ยหูฟังความลับของอาจารย์เหล่านั้นแล้ว ก็กำหนดจดจำไว้โดยละเอียด

    เมื่อต่างคนต่างเปิดเผยความลับของกันและกันจนหมดเปลือกแล้ว จึงต่างกำชับกันว่า อย่าได้นำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายเป็นอันขาด

    จากนั้นอาจารย์เสนกะก็กล่าวปิดท้ายว่า “นี่ก็เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้วที่พวกเราคิดจะกำจัดมโหสถ ที่เป็นเหมือนก้างขวางคอของพวกเราตลอดมา แต่นี้ไปพวกเราจะไม่ต้องอยู่ในมิถิลานครอย่างอัปยศอดสูอีกต่อไป

    ในเมื่อครั้งนี้จักเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฉะนั้นขอพวกท่านจงอย่าได้ประมาทเผลอไผลเป็นอันขาด  เอาล่ะ เช้าตรู่พรุ่งนี้พวกเราก็มาเจอกันที่นี่ แล้วจากนั้นก็จักได้ร่วมมือร่วมใจกันฆ่าไอ้ลูกบ้านนอกนั่นให้สิ้นซากเสียที”

    ทั้งหมดรับคำของอาจารย์เสนกะแล้ว ก็พากันลุกขึ้นแยกย้ายกลับสู่เรือนของตน

    บริวารของมโหสถเห็นอาจารย์ทั้ง ๔ กลับไปแล้ว ก็พากันมายกถังข้าวขึ้น มโหสถออกจากถังข้าวสารแล้ว ก็รีบกลับไปสู่เรือนของตนเช่นกัน  บัดนี้ความลับอันเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายของอาจารย์ทั้ง ๔ มโหสถก็ได้ทราบจนสิ้นแล้ว เท่ากับว่า มโหสถได้กุมชะตาชีวิตของพวกเขาไว้จนสิ้น เหลืออยู่แต่ว่า มโหสถจะทำอย่างไรเท่านั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita100.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 03:05
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv