ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 101

    จากตอนที่แล้ว  อาจารย์เทวินทะได้เล่าความลับของตนเป็นลำดับสุดท้ายว่า   “คราวหนึ่ง   พระเจ้าวิเทหราชทรงมอบหมายให้กระผมนำดวงแก้วมณีของพระองค์มาขัดให้สะอาด กระผมรู้ว่าแก้วมณีดวงนี้เป็นของมงคล เพราะเป็นแก้วที่ท้าวสักกเทวราชประทานให้แก่พระเจ้าปู่กุสราช จึงคิดอยากจะครอบครองไว้เสียเอง ในที่สุดจึงตัดสินใจขโมยดวงแก้วมณีนั้นมา ครั้นแล้วจึงนำไปมอบให้มารดาของกระผมเป็นผู้เก็บรักษาไว้

    เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าเฝ้า มารดาก็จะนำดวงแก้วมณีนั้นมามอบให้ผมติดตัวไว้ แก้วมณีดวงนี้มีอานุภาพดึงดูดทรัพย์สมบัติให้กระผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องขโมยดวงแก้วนี้มีแต่มารดาของกระผมเท่านั้นที่รู้ ดังนั้น ผมจึงกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่มารดา”

    เมื่อต่างคนต่างเปิดเผยความลับของกันและกันจนหมดเปลือกแล้ว จึงต่างกำชับกันว่า อย่าได้นำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายเป็นอันขาด จากนั้น ก็พากันลุกขึ้นแยกย้ายกลับสู่เรือนของตน

    บริวารของมโหสถเห็นอาจารย์ทั้ง ๔ กลับไปแล้ว ก็พากันมายกถังข้าวขึ้น มโหสถออกจากถังข้าวสารแล้ว ก็รีบกลับไปสู่เรือนของตนเช่นกัน 

    มโหสถเมื่อกลับมาถึงเรือนแล้ว ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นจึงบริโภคอาหารมื้อค่ำตามปกติ แต่ก่อนที่จะเข้านอน มโหสถได้เรียกคนเฝ้าประตูมา แล้วสั่งว่า “เจ้าจงคอยระวังอยู่ที่หน้าประตูให้ดี หากว่ามีคนในวังมาขอพบเรา เจ้าก็จงรีบมาบอกเราทันที”

    ครั้นสั่งความแล้ว จึงได้เข้านอนโดยมิได้มีความกังวลใจแต่อย่างใด

    ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราช พระองค์เสด็จเข้าสู่พระแท่นบรรทมตั้งแต่ปฐมยาม จนล่วงเข้ามัชฌิมยามแล้ว ก็ยังมิอาจข่มพระเนตรลงได้ ท้าวเธอเสด็จบรรทมอยู่ด้วยพระหฤทัยกระสับกระส่ายยิ่งนัก  ทุกครั้งที่ทรงหวนระลึกถึงใบหน้าของมโหสถบัณฑิต และภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อตอนกลางวัน ท้าวเธอก็ยิ่งไม่สบายพระทัยเป็นนักหนา ด้วยทรงนึกถึงคุณของมโหสถบัณฑิตว่า
 
    “มโหสถเป็นราชบัณฑิตผู้ปราดเปรื่องอย่างหาที่เปรียบมิได้ รอบรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์อย่างถ่องแท้ เธอรับราชการอยู่กับเรามาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ จนถึงบัดนี้ ก็ไม่เคยปรากฏเลยว่าได้ทำความเสื่อมเสียแก่เราแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่เราถูกเทวดาถามปัญหา หากมิได้มโหสถบัณฑิตช่วยพยากรณ์ปัญหาเหล่านั้นให้ เราคงไม่อาจมีชีวิตรอดมาได้ถึงป่านนี้  คงไม่แคล้วต้องถูกลงเทวทัณฑ์ไปแล้วอย่างแน่นอน

    โธ่เอ๋ย..เราไม่น่าใจเร็ว ยื่นพระขรรค์ให้อาจารย์เสนกะไปฆ่าเธอเลย ไม่ควรเลยที่เราจะยึดถือถ้อยคำที่ไร้สาระของอาจารย์เสนกะมาเป็นเรื่องเป็นราว โอ้ ! พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เราจะไม่ได้เห็นหน้ามโหสถผู้ภักดีต่อเราอีกต่อไปแล้ว”

    ท้าวเธอทรงรำพึงไปก็ยิ่งทรงกระวนกระวายหนักขึ้น พร้อมกันนั้นความโศกก็ยิ่งกลุ้มรุมพระราชหฤทัยจนสุดประมาณ พระเสโทไหลอาบชุ่มไปทั่วทั้งพระวรกาย

    พระนางอุทุมพรเทวีซึ่งเสด็จเข้าประทับร่วมพระแท่นเดียวกัน ทรงทอดพระเนตรเห็นพระอาการของพระราชสวามีผิดแผกไปจากทุกวัน ก็ทรงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง จึงดำริในพระทัยว่า “วันนี้ทำไมหนอพระสวามีของเราถึงเศร้าหมองไปเช่นนี้ หรือว่ามีสิ่งใดกระทบพระราชหฤทัยของท้าวเธอ เป็นเหตุให้ทรงขุ่นเคืองพระทัย”

    พระนางทรงตรวจตราพระจริยาวัตรของพระองค์เองแล้ว ก็มิได้เห็นข้อบกพร่องที่จะเป็นเหตุให้พระราชสวามีทรงระคายเคืองพระราชหฤทัย   ในที่สุดจึงตัดสินพระทัยทูลถามพระราชสวามีว่า
 
    “ทูลกระหม่อมเพคะ พระองค์ทรงเสียพระทัย หรือทรงกังวลด้วยเรื่องอันใด เหตุไฉนดึกดื่นค่อนคืนแล้วจึงยังไม่บรรทมเล่าเพคะ หรือเป็นเพราะหม่อมฉันได้ทำผิดสิ่งใดให้เป็นที่ไม่พอพระหฤทัยของพระองค์หรือเพคะ ขอพระองค์โปรดทรงบอกหม่อมฉันเถิด”

   
“เทวี เธอไม่มีความผิดอะไรดอก แต่...” ท้าวเธอตรัสแล้วก็ทรงเงียบไป
    
    “แต่อะไรหรือเพคะ” พระนางซัก

    ขณะนั้น พระพักตร์ของพระเจ้าวิเทหราชก็พลันหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม เหมือนทรงเก็บความทุกข์โทมนัสไว้เต็มแน่นพระหฤทัย แต่ก็ไม่อาจบอกกล่าวกับผู้ใดได้

     “นี่พี่จะบอกน้องอย่างไร...จะบอกน้องอย่างไรดี” ท้าวเธอตรัสด้วยพระสุรเสียงแหบเครือ

    “ตรัสเถิดทูลกระหม่อม อย่างน้อยที่สุด พระองค์ก็จะได้ระบายความอัดอั้นตันใจให้หม่อมฉันได้รับรู้บ้าง อย่าลืมสิว่า ชีวิตของหม่อมฉันที่ดำรงอยู่นี้ ก็เพื่อความสุขของทูลกระหม่อมนะเพคะ”

    “ขอบใจมาก เทวี พี่ซาบซึ้งในความจงรักภักดีของน้องแล้ว” ท้าวเธอตรัสชม “เรื่องนี้มิใช่ความผิดของน้องหรอก แต่มันเป็นความผิดของพี่เอง พี่นี่แหละเป็นผู้ผิด ผิดอย่างไม่น่าให้อภัยเลย”

   
พระนางอุทุมพรจึงทูลถามว่า “พระองค์ทรงทำอะไรผิดหรือเพคะ”
 
    พระเจ้าวิเทหราชมิอาจทนต่อคำรบเร้าของพระนางได้ ในที่สุดพระองค์จึงตรัสตอบพระนางด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบาว่า
 
    “พี่กำลังไม่สบายใจ เพราะเหตุว่า เมื่อตอนกลางวันนี้เอง พี่ได้สั่งให้อาจารย์เสนกะฆ่ามโหสถเสียในเช้าวันพรุ่งนี้ เพราะก่อนนั้นอาจารย์ทั้ง ๔ ได้แจ้งข่าวให้ทราบว่า มโหสถคิดจะเป็นกบฏ พี่ฟังแล้วก็เชื่อในทันที ทั้งที่ยังไม่ทันได้สอบสวนให้แน่ชัด พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไร พี่ก็ยิ่งกลุ้มใจ ไม่ควรเลยที่พี่จะรีบด่วนสั่งให้ฆ่ามโหสถ” 
 
    พระนางอุทุมพรเทวี เมื่อได้ทราบถึงอันตรายที่จะเกิดแก่น้องรักแล้ว พระนางคิดอย่างไร และจะทรงช่วยเหลือมโหสถได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita101.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 03:04
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv