ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 117

   จากตอนที่แล้ว เหล่าสหายรับคำสั่งของมโหสถบัณฑิตแล้ว ต่างก็รีบพากันเดินทางไปปัญจาลนครทันที แล้วรีบมุ่งตรงไปยังพระราชอุทยานของพระเจ้าจุลนี ที่จะเป็นสถานที่เตรียมต้อนรับการเสด็จมาของเหล่าพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป แล้วไต่ถามกันและกันว่า “ไหนล่ะ ที่ประทับนั่งของพระเจ้าวิเทหราชอยู่ที่ใดกัน” แล้วพลางชี้บอกว่า “นี่ไงพวกเรา ที่ประทับนั่งของพระราชาของพวกเราอยู่ตรงนี้แน่ะ” ซึ่งอยู่ถัดจากพระราชอาสน์ที่เตรียมไว้สำหรับพระเจ้าจุลนีพรหมทัต

    บรรดาข้าราชการกรุงปัญจาละซึ่งยืนควบคุมงานอยู่ในที่นั้น เห็นดังนั้น ก็ถามขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “พวกท่านเป็นใครกันน่ะ”
 
   เหล่าสหายของมโหสถต่างหันไปมองหน้าข้าราชการหนุ่มผู้กล่าวขึ้นเมื่อสักครู่ แล้วจึงเย้ยตอบเหมือนไม่ปรารถนาจะใส่ใจว่า “พวกเราก็เป็นคนของพระเจ้าวิเทหราชน่ะสิ ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระนามอันเกริกไกรของพระองค์ท่านบ้างเลยหรือ”

   ทั้งสองฝ่ายต่างถกเถียงกันเรื่องที่ประทับนั่งของพระเจ้าวิเทหราชอย่างรุนแรงขึ้นเรื่องๆ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกกัน จึงเกิดการทุ่มเถียงกันยกใหญ่ ครั้นแล้วสหายของมโหสถก็รีบดำเนินการตามอุบาย พากันเปล่งเสียงโห่ร้องก้องสนั่น แล้วทุบต่อยไหสุราทั้งหมดด้วยค้อนใหญ่ พร้อมกับสาดเทของบริโภคที่ตระเตรียมไว้จนไม่เหลือชิ้นดี จากนั้นจึงประกาศตัวให้รู้ว่า “เราทั้งหลายเป็นทหารของมโหสถบัณฑิตแห่งมิถิลานคร” ว่าแล้วก็พากันรีบเดินกลับมิถิลานครอย่างปลอดภัย ฝ่ายข้าราชการกรุงปัญจาละ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จึงไม่อาจป้องกันแก้ไขอะไรได้เลย ฝ่ายผู้ที่ก่อความไม่สงบก็ดันหลุดรอดไปได้ แต่ที่น่าแค้นใจก็คือ ไหสุรานับพันก็ถูกทุบแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ กับแกล้มทุกจานถูกสาดเททิ้ง พิธีดื่มชัยบานถูกทำลายพังพินาศสิ้นไปแล้วด้วยน้ำมือของทหารที่มาจากมิถิลานคร

    บรรดาข้าราชการกรุงปัญจาละ ต่างรำพึงรำพันด้วยความเสียดาย ผสมกับความเดือดแค้นจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้รีบนำความนั้นไปกราบทูลให้พระเจ้าจุลนีทราบ

    ความได้ทราบถึงพระเจ้าจุลนีซึ่งกำลังประทับนั่งอยู่ท่ามกลางมหาสมาคมของพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ดุจดวงจันทร์กลางหาวที่ห้อมล้อมด้วยหมู่ดาว  ท้าวเธอสดับดังนั้น ก็ทรงพิโรธยิ่งนัก พระพักตร์บึ้งตึง พระเนตรทั้งคู่แดงก่ำด้วยพระโทสะ พระทนต์ขบแน่น พระหฤทัยเดือดพล่านด้วยเพลิงแค้น

    ฝ่ายพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ต่างพากันพิโรธทหารมิถิลานครที่ทำให้พระองค์ต้องอดดื่มสุรารสเลิศที่หาได้ยาก แม้แต่เหล่าทหารและข้าราชการที่ติดตามพระราชาเหล่านั้นมา กำลังใฝ่ฝันที่จะได้ดื่มสุราชนิดหามูลค่ามิได้ ก็พลอยอดดื่มไปตามๆกัน โดยหารู้ไม่ว่าสุราเหล่านั้นล้วนถูกเจือด้วยยาพิษ

    ทันใดนั้น พระเจ้าจุลนีจึงทรงประกาศขึ้นในท่ามกลางมหาสมาคมว่า“มาเถิดท่านทั้งหลาย บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องห้ำหั่นมิถิลาให้เป็นจุณ วิเทหราชหรือจะรอดพ้นเงื้อมมือของเราไปได้ เมื่อจับท้าววิเทหะผู้ทรนงตนเสียได้ เราก็จักบั่นศีรษะของมันเสียด้วยพระขรรค์เล่มนี้ล่ะ

   จากนั้นก็จะสับให้เป็นท่อนๆ ก่อนที่เหยียบย่ำให้แหลกเสียด้วยบาททั้งสอง ต่อแต่นั้นพวกเราจะได้ร่วมดื่มชัยบานกันให้สำราญทีเดียว ท่านทั้งหลายจงเตรียมกองทัพไว้ให้พร้อม เมื่อเราสั่งการเมื่อไรจงยกทัพไปได้ทันที พระเจ้าวิเทหราชหรือจะพ้นมือของพวกเราไปได้”

    ตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จเข้าสู่ที่รโหฐาน ตรัสเรียกพราหมณ์เกวัฏมาเข้าเฝ้า แล้วรับสั่งว่า “ท่านอาจารย์ ช่างน่าแค้นใจนัก พวกมิถิลากล้าดีอย่างไร ถึงมาทำลายพิธีของเราเสียนี่ ดีล่ะ เราพร้อมด้วยกองทัพใหญ่ ๑๘ กอง รวมกับกองทัพของพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์จะรุดหน้าเข้าประจันศึกกับมิถิลานครในเร็ววัน แล้วเหยียบย่ำมิถินครให้พินาศไปในพริบตาทีเดียว ท่านอาจารย์จงไปด้วยจะได้ปรึกษาหารือกัน เมื่อรบชนะแล้วจะกลับมาดื่มชัยบานกันในภายหลัง ท่านอาจารย์เห็นว่าอย่างไร”

   พราหมณ์ปุโรหิตเกวัฏเป็นผู้ฉลาดรอบคอบ จึงคิดว่า “แม้นกองกำลังของมิถิลานครจะไม่อาจเทียบได้กับกองทัพปัญจาลนครก็จริงอยู่ แต่ลำพังสติปัญญาของเรานั้น ก็ยังไม่อาจจะเอาชนะมโหสถบัณฑิตได้แน่ หากว่ากองทัพของปัญจาลนครมีอันต้องเพลี่ยงพล้ำไป ความละอายก็จะมีแก่เราแน่ อย่าเลย เราจะยอมทำตามพระหฤทัยของท้าวเธอไม่ได้ เราจักทำให้ทรงล้มเลิกความคิดเสียเดี๋ยวล่ะ” 

    คิดดังนี้แล้ว พราหมณ์เกวัฏจึงทูลทัดทานพระเจ้าจุลนีว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ เหตุที่มงคลพิธีของเราถูกทำลายลงในครั้งนี้ จะว่าเป็นเพราะพระเจ้าวิเทหราชทีเดียวก็คงมิใช่ แต่ข้าพระองค์เชื่อว่า นั่นเป็นเพราะอานุภาพของมโหสถบัณฑิตต่างหากเล่า ชะรอยว่ามโหสถคงจะล่วงรู้ความลับของเราก่อนแล้วอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าข้า

    และอีกประการหนึ่งการที่เราจะยกทัพไปยึดมิถิลานครนั้น เห็นว่าจะเป็นการลำบากเปล่าๆ เพราะตามที่ข้าพเจ้าได้สดับมาว่ามโหสถได้จัดระบบการป้องกันรักษามิถิลานครไว้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรยกทัพไป พระพุทธเจ้าข้า”

   “น้ำหน้าอย่างมโหสถน่ะหรือ จักทำอะไรเราได้” พระเจ้าจุลนีตรัสดังนี้เพราะทรงมีขัตติยมานะ มากเกินกว่าที่พราหมณ์เกวัฏจะเหนี่ยวรั้งพระองค์ไว้ได้

    พระโทสะของพระองค์ผนวกกับความมัวเมาในพระราชอิสริยยศ ได้บดบังพระปรีชาญาณของพระองค์จนมืดมิด กระทั่งลืมไปสนิทว่า การที่พระองค์จะห้ำหั่นมิถิลานครลงให้ได้นั้น มิใช่เรื่องง่ายเลยเพราะการกระทำเช่นนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังเดินเข้าสู่ปากถ้ำซึ่งมีราชสีห์คอยพิทักษ์อารักขาถ้ำนั้นไว้เป็นอย่างดี ไฉนเลยเขาจึงจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้

    แต่ไม่ว่าอย่างไร พระเจ้าจุลนีก็จะไม่ทรงล้มเลิกความคิดนั้นเป็นอันขาด ท้าวเธอทรงตัดสินพระทัยดังนั้นแล้ว ก็รีบเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่สนามชุมนุม พร้อมด้วยพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์

   พราหมณ์เกวัฏเมื่อไม่อาจจะทัดทานพระองค์ไว้ได้ แต่ก็ต้องติดตามพระองค์ไปด้วยความจำใจ  ครั้นกองกำลัง ๑๘ กองทัพอันประกอบด้วยทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ และทัพราบ พร้อมเพรียงกันแล้ว พระเจ้าจุลนีจึงได้ให้สัญญาณเคลื่อนพล ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงกรีฑาทัพทั้ง ๑๘ กองทัพออกจากปัญจาลนครแล้วมุ่งสู่มิถิลานครในทันที

    กองทัพใหญ่ ๑๘ กองของพระเจ้าจุลนี พร้อมกับกองทัพของพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ต่างก็มีความเป็นเดือดเป็นแค้น ในการที่ทหารมิถิลานครมาทำลายพิธีชัยบานของพวกตน ดังนั้นกำลังศึกในการรบก็ยิ่งฮึกเหิมห้าวหาญยิ่งขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฝ่ายมโหสถบัณฑิตจะเตรียมรับมือกับกองทัพอันมหึมา ที่มากันอย่างมืดฟ้ามัวดินได้อย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita117.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 04:24
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv