เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 118
จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีได้ทราบข่าวร้ายจากบรรดาข้าราชการกรุงปัญจาละว่า พวกทหารจากมิถิลานครมาทำลายพิธีชัยบานของพวกตน ท้าวเธอเมื่อได้สดับดังนั้น ก็ทรงพิโรธยิ่งนัก พระพักตร์บึ้งตึง พระเนตรทั้งคู่แดงก่ำด้วยพระโทสะ พระทนต์ขบแน่น พระหฤทัยเดือดพล่านด้วยเพลิงแค้น
ฝ่ายพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ รวมไปถึงเหล่าทหารและข้าราชการที่ติดตามพระราชาเหล่านั้นมา ต่างพากันเป็นเดือดเป็นแค้นพวกทหารมิถิลานคร ที่ทำให้พระองค์ต้องอดดื่มสุรารสเลิศที่หาได้ยาก โดยหารู้ไม่ว่าสุราเหล่านั้นล้วนถูกเจือด้วยยาพิษ
ทันใดนั้น พระเจ้าจุลนีจึงทรงประกาศขึ้นในท่ามกลางมหาสมาคมว่า“มาเถิดท่านทั้งหลาย บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องห้ำหั่นมิถิลาให้เป็นจุณ วิเทหราชหรือจะรอดพ้นเงื้อมมือของเราไปได้ เราก็จักบั่นศีรษะของมันเสียด้วยพระขรรค์เล่มนี้ล่ะ จะสับให้เป็นท่อนๆ ก่อนที่เหยียบย่ำให้แหลกเสียด้วยบาททั้งสอง ท่านทั้งหลายจงเตรียมกองทัพไว้ให้พร้อม เมื่อเราสั่งการเมื่อไรจงยกทัพไปได้ทันที พระเจ้าวิเทหราชหรือจะพ้นมือของพวกเราไปได้”
แม้พราหมณ์ปุโรหิตเกวัฏเป็นผู้ฉลาดรอบคอบจะทูลห้ามไว้ก็ตาม แต่พระเจ้าจุลนีก็ไม่ทรงสนพระทัยเพราะทรงมีขัตติยมานะ พระโทสะของพระองค์ผนวกกับความมัวเมาในพระราชอิสริยยศ ได้บดบังพระปรีชาญาณของพระองค์จนมืดมิด กระทั่งลืมไปว่า การที่จะห้ำหั่นมิถิลานครลงให้ได้นั้น มิใช่ง่ายเลย
จากนั้นพระเจ้าจุลนีจึงรีบเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่สนามชุมนุม พร้อมด้วยพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ได้ให้สัญญาณเคลื่อนทัพทั้ง 18 กองทัพอันประกอบด้วยทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ และทัพราบออกจากปัญจาลนครแล้วมุ่งสู่มิถิลานครในทันที
กองทัพอันมหึมาของพระเจ้าจุลนีเป็นกองทัพที่น่าสะพรึงกลัวดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวด้วยเสียงสัญญาณฆ้องกลองและแตรสังข์ อีกทั้งฝีเท้าพลช้าง พลม้า พลรถและพลราบที่ย่ำบนพื้นดิน ดังแผ่นดินจะถล่มทลาย ได้บ่ายหน้าเข้าสู่วิเทหรัฐเพื่อล้อมมิถิลานคร
สหายของมโหสถผู้สืบราชการลับประจำเมืองต่างๆ ก็ได้เดินทางมากับกองทัพนี้ด้วย จึงได้ส่งข่าวให้มโหสถบัณฑิตทราบเป็นระยะๆว่า วันนี้กองทัพถึงตำบลนี้แล้ว พรุ่งนี้ก็จะถึงตำบลนั้น ตลอดจนความเคลื่อนไหวต่างๆในกองทัพ เพื่อเป็นประโยชน์ แก่การป้องกันพระนคร
มโหสถบัณฑิตทราบความเคลื่อนไหวของกองทัพพระเจ้าจุลนีทุกๆระยะ ก็มิได้ประมาท เร่งเกณฑ์พลโยธาขึ้นประจำหอรอรบ จัดกองหน้าและกองหนุนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันระแวดระวังภัยอยู่ทุกมุมเมือง ประตูใหญ่ของพระนครก็สั่งให้ปิดอย่างแน่นหนา เหลือเพียงประตูน้อยให้ชาวเมืองได้ใช้เป็นเส้นทางเข้าออก
จากนั้นเพียงไม่กี่วัน มโหสถบัณฑิตก็ได้รับแจ้งข่าวจากม้าเร็วเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ในวันนี้แหละ พระเจ้าจุลนีพรหมทัตแห่งปัญจาลนคร จักกรีธาทัพมาถึงแคว้นมิถิลานคร”
มโหสถบัณฑิตทราบดังนั้น ก็ยิ่งเข้มงวดกวดขันไพร่พลทุกหมู่เหล่า ใส่ใจตรวจตราความพร้อมด้วยตนเอง ทั้งยังปลุกใจทุกคนให้มีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะปกป้องมิถิลานครให้รอดพ้นจากการรุกรานของกองทัพปัจจามิตร
ในเวลาจวนจะพลบค่ำ แสงคบเพลิงลุกโชติช่วงจำนวนนับแสนดวงถูกจุดขึ้นรายล้อมรอบกำแพงเมืองมิถิลา สาดแสงจับมิถิลานครให้สว่างไสวประหนึ่งกลางวัน เป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่า บัดนี้กองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้เข้าประชิดกำแพงเมืองมิถิลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พระเจ้าจุลนีพอมาถึงก็มีพระราชโองการดำรัสสั่งให้แม่ทัพทั้งหลายล้อมมิถิลานครทุกด้านโดยทันที เสียงช้างก็ดี เสียงม้าก็ดี เสียงรถก็ดี เสียงพลทหารปรบมือผิวปากและโห่ร้องก้องคำรนอยู่ก็ดี ดังสนั่นหวั่นไหวอึกทึกกึกก้องไปทั้งเมืองประหนึ่งว่าปฐพีจะถล่มทลาย
กรุงมิถิลาในยามนี้เปรียบเหมือนเกาะกลางน้ำที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางมหานที มีปราการกองทัพช้างล้อมรอบด้านเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีกองทัพม้ารายล้อมเป็นชั้นที่ ๒ ตามติดมาด้วยกองทัพรถและกองพลราบเป็นปราการชั้นสุดท้าย ดูช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ชาวเมืองมิถิลาถูกกองทัพมหึมาล้อมไว้จนแน่นหนาเช่นนั้น ก็พากันหวาดผวา ตื่นกลัว จนแทบครองสติไม่อยู่ เว้นแต่มโหสถบัณฑิตกับเหล่าทหารทั้งหลายที่ดำรงสติอย่างมั่นคงอยู่ ไม่มีอาการตื่นตกใจแต่อย่างไร ยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี
ฝ่ายอาจารย์ทั้ง ๔ คืออาจารย์เสนกะ อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามินทะ และอาจารย์เทวินทะ เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องโกหาหล ทั้งยังเห็นแสงเพลิงสว่างกลบไปทั้งเมือง โดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พากันแปลกใจ จึงรีบตรงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช กราบทูลแด่ท้าวเธอว่า “ขอเดชะมหาราชเจ้า บัดนี้ภายนอกพระนครมีเสียงโห่ร้องกึกก้องโกลาหล ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งพระนคร ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินเสียงเหล่านั้นถนัดชัดเจนอยู่ แต่ก็ยังไม่อาจทราบในทันทีว่า นั่นเป็นเสียงอะไรกันแน่ เห็นควรที่พระองค์จะทรงพิจารณาให้ทราบแน่ชัด พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบมาก่อนแล้วว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตกำลังกรีธาทัพมายึดมิถิลานครในเร็ววัน แต่ก็ไม่ทรงนึกว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ ครั้นท้าวเธอสดับคำของอาจารย์ทั้ง ๔ แล้ว ก็ทรงดำริว่า “ชะรอยเสียงนั้นคงเป็นเสียงกองทัพของพระเจ้าจุลนีที่ยกมาตีมิถิลานครเป็นแน่แท้”
ท้าวเธอทรงดำริฉะนี้แล้ว ก็รีบเปิดช่องพระแกลทอดพระเนตรดู ณ เบื้องล่าง เห็นปราการกองทัพมหึมาห้อมล้อมกำแพงมิถิลานครเป็นชั้นๆ พร้อมกับแสงคบเพลิงที่จุดสว่างไสวไปทั้งเมือง ท้าวเธอก็ทรงทราบทันทีว่า บัดนี้กองทัพของพระเจ้าจุลนีได้กรีธาทัพมาถึงมิถิลานครแล้วจริงๆ ท้าวเธอทรงตกพระทัยกลัวต่อมรณภัยเป็นอย่างยิ่ง จนตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ทรงประทับยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่ในที่นั้นเอง
อาจารย์เสนกะเห็นพระพักตร์ของท้าวเธอหม่นหมองในทันใด จึงทูลถามว่า “มีเหตุอันใดที่ทำให้พระองค์ไม่สบายพระทัยหรือ พระพุทธเจ้าข้า”
“นั่นอย่างไรล่ะ กองทัพของพระเจ้าจุลนี” ท้าวเธอตรัสตอบสั้นๆแล้วก็ ทรงรำพึงด้วยความทดท้อในพระหทัยว่า “เราเองเห็นจะไม่พ้นเงื้อมมือของพระเจ้าจุลนีแน่แล้ว หากในวันนี้พระเจ้าจุลนีจับตัวเราได้ ก็คงจะไม่ปล่อยให้เราอยู่รอดไปจนถึงวันพรุ่งนี้เป็นแน่”
เมื่อมรณภัยคืบคลานเข้ามาใกล้ตัว ผู้ไม่มีดวงปัญญาต่างหวาดผวาสะดุ้งตกใจกลัวต่อความตาย แต่ผู้มีดวงปัญญาอย่างมโหสถบัณฑิตจะมีวิธีป้องกันบ้านเมืองให้พ้นจากภัยอันตรายในครั้งนี้ได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)