ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 119
 
   จากตอนที่แล้ว กองทัพอันมหึมาของพระเจ้าจุลนี ได้บ่ายหน้าเข้าสู่วิเทหรัฐเพื่อล้อมมิถิลานคร สหายของมโหสถผู้สืบราชการลับประจำเมืองต่างๆ ก็ได้เดินทางมากับกองทัพนี้ด้วย จึงได้ส่งข่าวให้มโหสถบัณฑิตทราบเป็นระยะๆ

    มโหสถบัณฑิตทราบความเคลื่อนไหวของกองทัพพระเจ้าจุลนีทุกๆระยะ ก็มิได้ประมาท เร่งวางแผนเตรียมกำลังรับมืออย่างเต็มที่ จากนั้นเพียงไม่กี่วัน มโหสถบัณฑิตก็ได้รับรับแจ้งข่าวว่า “ในวันนี้ พระเจ้าจุลนี จักยกทัพมาถึงมิถิลานคร”

    ในเวลาพลบค่ำ กองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้าจุลนีได้เข้าประชิดกำแพงเมืองมิถิลาเป็นที่เรียบร้อย พระเจ้าจุลนีทรงมีพระราชโองการดำรัสสั่งให้แม่ทัพทั้งหลายล้อมมิถิลานครทุกด้านโดยทันที เสียงช้างก็ดี เสียงม้าก็ดี เสียงรถก็ดี เสียงพลทหารปรบมือผิวปากและโห่ร้องก้องคำรนอยู่ก็ดี ดังสนั่นหวั่นไหวอึกทึกกึกก้องไปทั้งเมืองประหนึ่งว่าปฐพีจะถล่มทลาย

   ชาวเมืองมิถิลาถูกกองทัพมหึมาล้อมไว้จนแน่นหนาเช่นนั้น ก็พากันหวาดผวา ตื่นกลัว จนแทบครองสติไม่อยู่ เว้นแต่มโหสถบัณฑิตกับเหล่าทหารทั้งหลายที่ดำรงสติอย่างมั่นคงอยู่ ไม่มีอาการตื่นตกใจแต่อย่างไร ยังคงปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี

    พระเจ้าวิเทหราช พร้อมกับอาจารย์ทั้ง ๔ ได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องโกหาหล ทั้งยังเห็นปราการกองทัพมหึมาห้อมล้อมกำแพงมิถิลานครเป็นชั้นๆ ท้าวเธอก็ทรงทราบทันทีว่า บัดนี้กองทัพของพระเจ้าจุลนีได้กรีธาทัพมาถึงมิถิลานครแล้วจริงๆ ทรงตกพระทัยกลัวต่อมรณภัยเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ทรงประทับยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่ในที่นั้นเอง 

    ส่วนท่านอาจารย์ทั้ง ๔ ต่างหน้าซีดตัวสั่น กลัวตาย เพราะคิดไม่ถึงว่ามิถิลานครจะถูกกองทัพมหึมาห้อมล้อมอย่างหนาแน่นถึงเพียงนี้ ท่านอาจารย์เสนกะกลับได้สติขึ้นมาหน่อยจึงกราบทูลว่า “แม้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็จะขอตายตามเสด็จ มิขออยู่เป็นทาสรับใช้ของพระเจ้าจุลนีอย่างเด็ดขาด”ส่วนท่านอาจารย์ทั้งสาม ก็กราบทูลโดยทำนองเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าการตายจะมีเพื่อนตายด้วยก็ตาม แต่ก็มิได้ช่วยให้ความหวาดหวั่นต่อความตายหมดไปเลย จะเป็นได้บ้างก็เพียงแต่สนทนาปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน

   ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเห็นกองทัพของพระเจ้าจุลนียกมาล้อมพระนครไว้เช่นนั้น ก็มิได้รู้สึกครั่นคร้ามแต่อย่างใด เป็นห่วงก็แต่พระเจ้าวิเทหราชเท่านั้น มิรู้ว่าบัดนี้พระองค์จะทรงตกพระทัยกลัวหรือจะทรงรู้สึกเช่นไรกับภัยสงครามที่รุกคืบเข้ามา
 
   ระหว่างที่พระเจ้าวิเทหราชทรงกำลังสนทนาปรับทุกข์กับอาจารย์ทั้ง ๔ อยู่นั้น  มโหสถบัณฑิตจึงรีบเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ กราบบังคมทูลท้าวเธอ แล้วยืนอยู่ ณ ที่อันสมควร

    พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นหน้ามโหสถบัณฑิตแล้ว ก็ทรงสบายพระทัยขึ้น ทรงดำริว่า “ภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ยากที่ใครจะสามารถปลดเปลื้องมิถิลานครให้พ้นจากความทุกข์ร้อนไปได้ ยกเว้นเสียแต่มโหสถบัณฑิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

    ท้าวเธอจึงรับสั่งกับมโหสถว่า “พ่อมโหสถเอย เธอไม่เกรงกลัวภัยบ้างเลยหรือ ขณะนี้พระเจ้าจุลนีเสด็จยาตราทัพมาพร้อมด้วยพลเสนาแสนยากรมากมายจนสุดจะคณานับ ล้วนแต่เหี้ยมหาญชำนาญศึก น่าสะพรึงกลัวเป็นนักหนา ขณะนี้มิถิลานครก็ถูกล้อมกำแพงเมืองไว้แล้วถึง ๓ ชั้น ในภาวะคับขันเช่นนี้ เธอผู้มีปัญญามากจะสามารถนำพามิถิลานครให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้อย่างไร ขอเธอจงบอกเรามาเถิด”

   มโหสถเป็นผู้มีใจคอหนักแน่น มีปกติสงบเยือกเย็นสมกับเป็นยอดบัณฑิต แม้นตนจะทราบดีว่าภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า ด้วยปัญญาของตนนี่แหละ ที่จักสามารถนำพามิถิลานครให้รอดพ้นภัยครั้งนี้ไปได้ 

    ดังนั้นจึงได้ทูลปลอบท้าวเธอให้ทรงคลายความวิตกกังวลด้วยวาจาองอาจกล้าหาญว่า “ข้าพระองค์มิได้เกรงกลัวกองทัพของพระเจ้าจุลนีเลย พระพุทธเจ้าข้า และขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯก็อย่าได้ทรงหวาดกลัวต่อภยันตรายใดๆเลย ขอทรงประทับให้สุขสำราญภายในเขตพระราชฐานตามพระราชอัธยาศัย เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

    ส่วนการปกป้องมิถิลานครนั้น ขอพระองค์ได้โปรดวางพระราชหฤทัย เถอะพระเจ้าข้า การรักษาป้องกัน ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดการวางแผนรับมือไว้แล้วอย่างมั่นคง กองทัพมหึมาของพระเจ้าจุลนีนี้ จักมิอาจเลยพระพุทธเจ้าข้า ที่จะก่อให้เกิดความรำคาญเคืองใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แม้แต่ปลายเส้นพระโลมาก็จะมิได้รับความกระทบกระเทือนแม้เพียงเล็กน้อย

   ข้าพระองค์จักขออาสาพิทักษ์รักษาพระราชบัลลังก์ของพระองค์ และจักขับไล่เหล่าอริราชศัตรูให้แตกพ่ายไปโดยเร็วที่สุด ขอพระองค์ได้โปรดวางพระราชหฤทัย มอบให้เป็นภาระของข้าพระองค์เถิดนะ พระพุทธเจ้าข้า”

    มโหสถบัณฑิตกราบทูลดังนี้แล้ว ก็รีบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า แล้วจึงเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้สำเร็จราชการอย่างสุดความสามารถ

    ในการทำศึกสงครามนั้น มโหสถบัณฑิตตระหนักดีว่า  สิ่งสำคัญในการสู้ศึก อยู่ที่ขวัญและกำลังใจ เพราะแม้นว่ากองทัพนั้นจะเป็นทัพใหญ่ที่มีกำลังพลมากกว่า แต่หากว่าลูกทัพปราศจากขวัญกำลังใจในการออกศึก กองทัพนั้นก็หมดท่าหมดสง่าราศี แทนที่จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก็อาจปราชัยให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายๆ

   นอกจากขวัญของทหารหาญแล้ว ขวัญของชาวเมืองก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน ผู้เป็นแม่ทัพจึงจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของชาวเมืองให้ดี มิฉะนั้นบ้านเมืองก็จะพลอยระส่ำระสายโดยง่าย กลายเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายบุกเข้าโจมตีได้ทันที

    ขณะนั้นบรรดาประชาชนชาวมิถิลานครต่างก็อกสั่นขวัญหายกลัวต่อความตายที่ถูกกองทัพของพระเจ้าจุลนีได้เข้าประชิดกำแพงเมือง ต่างก็พากันมาชุมนุมกันเป็นกลุ่มๆ โจษจันกันเรื่องการสงคราม ทำให้เกิดความหวาดหวั่นพรั่นใจไปต่างๆ เป็นโกลาหล

    มโหสถบัณฑิตจะมีวิธีการบำรุงขวัญ และกำลังใจของทหารหาญและชาวเมืองอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita119.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 04:19
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv