ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 120
 
   จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตเห็นกองทัพของพระเจ้าจุลนียกมาล้อมพระนครไว้เช่นนั้น ก็มิได้รู้สึกครั่นคร้ามแต่อย่างใด เป็นห่วงก็แต่พระเจ้าวิเทหราชเท่านั้น มิรู้ว่าบัดนี้พระองค์จะทรงตกพระทัยกลัว หรือจะทรงรู้สึกเช่นไรกับภัยสงครามที่รุกคืบเข้ามา

    ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชทรงกำลังสนทนาปรับทุกข์กับอาจารย์ทั้ง ๔ อยู่นั้น  มโหสถบัณฑิตจึงรีบเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ กราบบังคมทูลท้าวเธอ พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นหน้ามโหสถบัณฑิตแล้ว ก็ทรงสบายพระทัยขึ้น จึงรับสั่งกับมโหสถว่า “พ่อมโหสถเอย เธอไม่เกรงกลัวเลยหรือ ขณะนี้มิถิลานครก็ถูกล้อมกำแพงเมืองไว้แล้วถึง ๓ ชั้น ในภาวะคับขันเช่นนี้ เธอจะสามารถนำพามิถิลานครให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้อย่างไร”

    มโหสถ ได้ทูลท้าวเธอให้ทรงคลายความวิตกกังวลว่า “ข้าพระองค์มิได้เกรงกลัวกองทัพของพระเจ้าจุลนีเลย ขอพระองค์ทรงประทับให้สุขสำราญภายในเขตพระราชฐานตามพระราชอัธยาศัย เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ส่วนการปกป้องมิถิลานครนั้น ขอให้เป็นภาระของข้าพระองค์เถิด พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์จักขับไล่เหล่าอริราชศัตรูให้แตกพ่ายไปโดยเร็วที่สุด” กราบทูลดังนี้แล้ว ก็รีบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า แล้วจึงเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ

   ขณะนั้นบรรดาประชาชนชาวมิถิลานครต่างก็อกสั่นขวัญหายกลัวต่อความตาย ต่างก็พากันมา โจษจันกันเรื่องการสงคราม ทำให้เกิดความหวาดหวั่นพรั่นใจไปต่างๆ เป็นโกลาหล

    เมื่อเป็นดังนี้ มโหสถจึงคิดจะบำรุงขวัญชาวเมือง โดยให้ตีกลองร้องป่าวไปทั่วพระนคร พร้อมกับให้แจ้งแก่ชาวพระนครว่า “มหาชนทั้งหลาย จงทราบเถิดว่า ถึงข้าศึกจะรุกมาประชิดกำแพงเมืองแล้วก็ตาม แต่เราชาวมิถิลานครจักต้องสู้ และจะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้แก่ใครเป็นอันขาด

    ในเรื่องสงครามนั้น ท่านทั้งหลายจงอย่าได้วิตกกังวลไปเลย เพราะมิใช่เรื่องที่ควรเป็นทุกข์เป็นร้อนดอก ขอเพียงทำตามคำของข้าพเจ้าเท่านั้น รับรองว่าถึงอย่างไรกองทัพปัญจาลนครก็จักไม่อาจยึดมิถิลานครของเราไปได้ มีแต่จะหนีเตลิดเปิดเปิงกลับไป”

    คำป่าวร้องของมโหสถบัณฑิตได้ผล สามารถเรียกขวัญกำลังใจของทุกคนให้กลับคืนมา พลิกฟื้นจากความตื่นกลัวให้กลายมาเป็นขวัญกำลังใจที่จะหยัดสู้ และพร้อมเสมอที่จะทำตามคำสั่งของผู้นำโดยไม่มีใครแตกแถว

   “มาเถิดท่านทั้งหลาย จงช่วยกันตระเตรียมดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้ เครื่องดื่มและของบริโภคไว้ให้มาก เสบียงนั้นไม่ว่ามีเท่าใด ก็จงบริโภคใช้สอยให้เต็มที่ อย่าได้กลัวว่าจะสิ้นเปลืองเลย เสบียงที่พวกท่านทั้งหลายใช้สอยกันในกาลนี้จะมีปริมาณมากเท่าไรนั้น ก็ขอให้เป็นภาระของเราเถิด เราจะจัดหาให้พวกท่านใช้สอยกันอย่างเต็มที่

    พวกท่านทั้งหลายจงชวนกันกินชวนกันดื่มตามสบาย ชวนกันเล่นดีดสีตีเป่า ประโคมดนตรี ฟ้อนรำ เยื้องกรายไปตามบทเพลง จงโห่ร้องเฮฮา ตบมือ บันลือเสียงให้เอิกเกริก พากันเล่นมหรสพ บันเทิงเริงรื่น ให้ครื้นเครงสนุกสนานกันทั่วทั้งเมืองเถิด”

    ชาวมิถิลานครทุกบ้านทุกตำบลทราบข่าวนั้นโดยทั่วกันแล้ว ต่างก็โล่งอกเบาใจไปตามๆกัน และยินดีที่จะทำตามนั้นทุกอย่าง  ครั้นแล้วก็ชวนกันเป็นหมู่เป็นพวก ทั้งดื่มกิน เที่ยวเล่น รื่นเริงด้วยมหรสพตลอดทั้งวันไม่มีเว้นว่าง

   พวกที่อยู่นอกเมือง เมื่อได้ยินเสียงขับร้องประโคมดนตรี ก็พากันเข้าไปภายในเมืองได้ตามสะดวก โดยที่ไม่มีผู้ใดขัดขวาง ประตูพระนครจึงมีผู้คนเข้าออกกันขวักไขว่ไม่ขาดสาย มิถิลานครแทนที่จะเงียบเหงาเพราะมีข้าศึกอันมีกำลังมหาศาลมาประชิด แต่กลับมีแต่ความสนุกสนานครื้นเครงไปทั่วทั้งเมือง

    การบำรุงขวัญชาวเมืองของมโหสถบัณฑิตสำเร็จผลอย่างงดงาม ความหวาดหวั่นครั่นคร้ามของชาวเมืองก็หมดไป ในไม่ช้าอุบายของมโหสถบัณฑิตก็เริ่มเห็นผล พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเมื่อสดับเสียงประโคมดนตรีและอาการสรวลเสเฮฮาของชาวมิถิลา ที่ดูคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

    ท้าวเธอจึงมีรับสั่งถามเหล่าอำมาตย์ว่า “ท่านอำมาตย์ นี่มันอะไรกัน กองทัพของเราล้อมเมืองทั้งเมืองไว้แน่นหนาถึงเพียงนี้ แต่ชาวเมืองมิถิลากลับสนุกสนานครื้นเครง ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีภัยล้อมอยู่รอบด้าน นี่ช่างไม่มีความกลัวตายกันบ้างเลยหรือ เหตุใดถึงยังรื่นเริงบันเทิงใจกันอยู่อีกเล่า”
เมื่อสิ้นเสียงพระดำรัสนั้นแล้วก็ไม่มีใครตอบได้

    ขณะนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสหายผู้ทำหน้าที่สืบราชการลับของมโหสถ ก็แกล้งทูลมุสาแด่พระราชาว่า “ขอเดชะมหาราชเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ปลอมตัวเป็นชาวเมืองแล้วเข้าไปสืบถามความเป็นไปภายในพระนคร โดยประตูเล็กซึ่งเป็นทางเข้าออกของชาวเมือง

    ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพวกชาวเมืองมิถิลากำลังดื่มกิน เที่ยวเล่น รื่นเริงด้วยมหรสพอย่างสนุกสนาน จึงถามพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลาย ขณะนี้กองทัพใหญ่ได้มาปิดล้อมเมืองของพวกท่าน กระไรเลยพวกท่านต่างไม่มีความหวาดกลัวต่อมรณภัยเลยหรือ”

   พวกชาวเมืองก็ได้ย้อนถามข้าพระพุทธเจ้าว่า “พวกท่านเป็นใครมาจากไหนหรือ พวกท่านไม่รู้ว่า ก่อนนี้พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ชาวเมืองทราบทั่วกันว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ทรงตั้งความปรารถนาว่า เมื่อใดกษัตริย์ในสกลชมพูทวีป ยกทัพมาล้อมพระนคร เมื่อนั้นพระองค์จะทำการสมโภชมหรสพให้ชาวนครได้สนุกสนานรื่นเริงกันให้เต็มที่ บัดนี้ความปรารถนาของพระราชาของพวกเราก็สำเร็จแล้ว ดังนั้นทางราชการจึงป่าวร้องให้ชาวเมืองร่วมกันสมโภชมหรสพเป็นการใหญ่ มาสิท่านมาร่วมกันกิน ร่วมกันดื่ม ร่วมกันเล่นให้สนุกสนานเถอะ

    ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบความมาดังนี้ แล้วแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงกรุณาดำริเถอะพระพุทธเจ้าข้า”

    พระเจ้าจุลนีสดับคำทูลของอำมาตย์นั้นแล้ว ก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก ตรัสตวาดด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “หน็อยแน่ อ้ายพวกชาวมิถิลา ช่างดูหมิ่นกันนัก เอาเถอะในไม่ช้าก็คงจะได้เห็นดีกัน ว่าระหว่างเราจุลนีพรหมทัตกับวิเทหราช ใครจะยิ่งใหญ่กว่ากัน”

   ตรัสพลางสั่งแม่ทัพว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่ารอช้า รีบถมคูเมืองทุกตอน ทำลายกำแพงทุกด้าน ประตูเมืองทุกทิศ หอรบทุกแห่งให้สิ้นซากอย่าให้เหลือ แล้วจงตัดศีรษะชาวมิถิลาใส่เกวียนร้อยเล่มเหมือนบรรทุกลูกฟักมาอย่าได้ปรานี และสำหรับวิเทหราชนั้น เราปรารถนาจะเห็นเฉพาะเศียรของมันเท่านั้น”

    พระราชโองการของพระเจ้าจุลนีเป็นคำประกาศิต ที่พลุ่งออกจากพระโอษฐ์ด้วยอำนาจแห่งเพลิงโทสะ อันลุกกระพือพลุ่งโพลงอยู่ในพระหฤทัย ราวกะว่าจะทำลายล้างมิถิลานครให้สิ้นซากไป ส่วนว่ามโหสถบัณฑิตจะมีวิธีป้องกันอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita120.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 03:15
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv