ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 128
 
 
    จากตอนที่แล้ว สนามธรรมยุทธ์ที่เป็นปริมณฑลกว้างขวาง บัดนี้กลับดูคับแคบลงถนัดใจ ทั้งพระราชาแคว้นต่างๆ หมู่อำมาตย์แม่ทัพนายกอง ตลอดจนไพร่พลฝ่ายปัญจาลนคร เบียดเสียดเนืองแน่นกันทั่วบริเวณ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองดูต้นทาง ใจจดจ่อรอคอยการมาของมโหสถบัณฑิตอยู่ไม่เว้นวาง ทุกคนต่างก็เพ่งมองไปทางทิศตะวันออก ซึ่งแสงแดดก็ยิ่งสาดส่องกล้าขึ้นตามลำดับ ต่างก็ปะทะแสงแดดเต็มหน้าด้วยกันทั้งสิ้น
 
    ฝ่ายมโหสถบัณฑิตลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ทำภารกิจต่างๆเสร็จเรียบร้อย ก็รีบออกเดินทางพร้อมด้วยบริวารนับพันไปเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช เพื่อจะขอพระราชทานดวงแก้วมณีแปดคดของพระองค์ ที่จะใช้ลวงพราหมณ์เกวัฏให้ตกหลุมพราง พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงอนุญาตในทันที โดยรับสั่งให้ราชบุรุษไปนำดวงแก้วมณีนั้นมาพระราชทานแด่มโหสถบัณฑิตโดยเร็ว
 
    เมื่อมโหสถบัณฑิตได้รับพระราชทานดวงแก้วมาแล้ว ก็ก้าวสู่รถเทียมม้าสินธพสีขาว พร้อมด้วยพลโยธาห้อมล้อมแน่นขนัด ชาวเมืองมิถิลานครต่างก็มายืนอำนวยอวยชัย ส่งขบวนของมโหสถบัณฑิตตลอดทาง ไม่ช้าเท่าใดนัก ขบวนรถม้าของมโหสถบัณฑิตนั้นก็ขับเคลื่อนออกจากประตูพระนคร ไปถึงสนามธรรมยุทธ์
 
    ครั้นพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ได้ทอดพระเนตรเห็นมโหสถบัณฑิต ต่างก็พากันสรรเสริญเกียรติคุณของมโหสถบัณฑิต จนเสียงนั้นดังอึงคะนึงไปทั่วบริเวณ ขณะนั้น มโหสถบัณฑิตถือมณีรัตนะเลอค่าทรงรัศมีแวววาวไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปหาพราหมณ์เกวัฏ ซึ่งบัดนี้พราหมณ์เกวัฏอยู่ในอาการหน้ามืด เพราะถูกแสงแดดแผดเผาจนเหงื่อไหลโทรมกาย เนื่องจากเป็นฝ่ายเฝ้าชะเง้อรอคอยมโหสถมาเนิ่นนาน
 
    พราหมณ์เกวัฏได้เห็นความงามสง่า กอปรกับท่าทางอันองอาจของมโหสถ ก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ แล้วทักขึ้นก่อนว่า “ท่านมโหสถบัณฑิต เราทั้งสองต่างก็เป็นบัณฑิตเช่นเดียวกัน หลายวันมานี้ ข้าพเจ้ามาอาศัยท่านอยู่ ณ ที่นี้ แต่ท่านมิเคยเลยที่จะแสดงอัธยาศัยไมตรี แม้เพียงจะส่งบรรณาการมาให้เราสักชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยก็เพื่อเป็นเครื่องต้อนรับตามวิสัยของบัณฑิตผู้ไม่ละเลยการปฏิสันถารต้อนรับ การที่ท่านทำเมินเฉยเช่นนี้ เป็นเพราะมีเหตุผลอย่างไร หรือว่ามีเหตุขัดข้องอันใดอย่างนั้นหรือ”
 
    มโหสถบัณฑิตจึงตอบพราหมณ์เกวัฏด้วยท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ท่านเกวัฏ ข้าพเจ้าน่ะ ยังคิดถึงท่านอยู่เสมอ แต่เพราะยังหาสิ่งที่คู่ควรแก่ท่านยังไม่ได้ จึงต้องเสียเวลาเฟ้นหาของที่สมควรแก่ท่านอยู่นาน เหตุนี้จึงยังไม่ได้โอกาสมาหาท่านเสียที แต่วันนี้ข้าพเจ้าหาเครื่องบรรณาการที่สมควรได้แล้ว บัดนี้จึงถือโอกาสนำบรรณาการที่สูงค่านี้มามอบให้ท่าน” ว่าแล้วมโหสถก็ยื่นแก้วมณีนั้นให้แก่พราหมณ์เกวัฏ พลางกล่าวว่า “แก้วมณีนี้เป็นของสูงค่า หามิได้ง่ายในโลก ขอท่านปุโรหิตจงรับไว้เถิด”
 
    พราหมณ์เกวัฏเห็นแก้วมณีในมือของมโหสถ มีแสงแวววาวสดใสยิ่งนัก ก็ยิ้มน้อยๆ ด้วยความพึงพอใจว่า “มโหสถจักให้ดวงแก้วอันมีค่านี้แก่เรา” แล้วจึงแบมือข้างหนึ่งออกรับ พลางกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงส่งมาเถิด” มโหสถสังเกตเห็นอาการตื่นเต้นยินดีของพราหมณ์เกวัฏ ก็ทราบทันทีว่า บัดนี้ความปราชัยปรากฏแล้วแก่พราหมณ์เกวัฏ
 
    ทันใดนั้น มโหสถทำทีเหมือนจะยื่นให้ แต่แล้วก็ทิ้งแก้วมณีนั้นให้ตกลงที่ปลายนิ้วของพราหมณ์เกวัฏโดยมิให้ทันตั้งตัว ปรากฏว่าแก้วมณีดวงนั้นหนักเกินกว่าที่ปลายนิ้วของพราหมณ์เกวัฏจะรองรับน้ำหนักไว้ได้ จึงได้พลัดตกจากมือ กลิ้งไปหยุดอยู่ใกล้ฝ่าเท้าของมโหสถบัณฑิต
 
    เมื่อโลภะเข้าครอบครองจิตใจ ดวงปัญญาที่เคยใสกระจ่าง ก็พลันถูกอำนาจแห่งความโลภเข้าบดบังจนมืดมิด พราหมณ์เกวัฏก็เช่นกัน แม้จะถูกมโหสถซ้อนกลด้วยแผนลวง แต่ด้วยความโลภมุ่งแต่จะได้แก้วมณีดวงนั้นมาครอง จึงมิทันได้ฉุกคิดอะไร จึงรีบน้อมกาย ก้มลงเก็บแก้วมณีที่อยู่ตรงฝ่าเท้าของมโหสถบัณฑิตในทันที กิริยาอาการของพราหมณ์เกวัฏเมื่อมองจากที่ไกล จึงดูคล้ายกำลังก้มลงกราบกรานมโหสถอย่างนอบน้อม
 
    มโหสถไม่รอช้า รีบฉวยโอกาสนั้น จับคอเกวัฏไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็กดชายกระเบนเหน็บของเกวัฏไว้ บังคับให้ก้มลงอยู่กับที่ ซึ่งอาการกิริยาที่มโหสถทำอย่างนี้ ถ้าดูไกลๆแล้ว จะเป็นการห้ามมิให้พราหมณ์เกวัฏกราบตนเอง ต้องการที่จะฉุดให้พราหมณ์เกวัฏนั้นลุกขึ้น แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงก้องกังวานว่า “ท่านปุโรหิต เชิญท่านลุกขึ้นเถิด ข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็กคราวลูกคราวหลาน ท่านอย่าถึงกับต้องกราบไหว้ข้าพเจ้าเลย” ว่าแล้วก็กดคอพราหมณ์เกวัฏลง เอาหน้าผากถูไปมากับพื้นดิน จนเลือดไหลย้อยเป็นทาง
 
    เมื่อพอแก่ความต้องการแล้ว จึงจับคอไสออกเพื่อฉุดให้ลุกขึ้นมา ก่อนที่จะผลักร่างของเกวัฏให้ถอยถลาไปอย่างไม่เป็นท่า พร้อมกับกล่าวข่มทิ้งท้ายว่า “คนอันธพาล เจ้าคิดเลศธรรมยุทธ์ จะให้เราไหว้ก่อนอย่างนั้นรึ ไม่รู้จักเรามโหสถบัณฑิตเสียแล้ว”
 
    ทหารฝ่ายมโหสถ เมื่อเห็นว่าพราหมณ์เกวัฏเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแล้ว ก็รีบตรงเข้าไปเก็บแก้วมณีนั้นไว้ แล้วพลางโห่ร้องด้วยเสียงดังสนั่น ได้ยินกันไปทั่วสนามรบว่า “ปุโรหิตเกวัฏก้มลงไหว้แทบเท้าท่านมโหสถ แต่กลับถูกมโหสถผลักกระเด็นไปหลายวา ช่างน่าอับอายเสียจริง ไฉนถึงได้ยอมแพ้กันง่ายๆอย่างนั้นเล่า”
 
    พราหมณ์เกวัฏถูกมโหสถผลักออกในท่าโก้งโค้ง จึงกระเด็นกระดอนไปหลายวา ทันทีที่ผุดลุกขึ้นได้ ก็รีบเผ่นขึ้นม้า เตรียมจะควบหนี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพร้อมด้วยพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ จะทรงดำริอย่างไร เพราะภาพที่เห็นกับความเป็นจริง มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita128.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 04:21
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv