ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 140
 
 
    จากตอนที่แล้ว พราหมณ์อนุเกวัฏได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนี แล้วกราบทูลถึงสถานการณ์ปัจจุบันให้ทรงทราบว่า ขณะนี้กองทัพของพระองค์ไร้วินัย ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา กองทัพที่เหลวแหลกเช่นนี้ จะเป็นมหาภัยใหญ่หลวงต่อราชบัลลังก์ของพระองค์ แม้แต่พระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ รวมถึงปุโรหิตเกวัฏ ต่างก็รับสินบนจากมโหสถ ทุกคนล้วนแต่เป็นพรรคพวกของมโหสถทั้งสิ้น
 
    เพื่อจะพิสูจน์ความจริงให้แน่ชัด พระเจ้าจุลนีจึงทรงเชิญพระราชาทั้งหมดมาประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรง ครั้นแล้วจึงรับสั่งให้มหาดเล็กตรวจค้นเครื่องราชาภรณ์ของพระราชาเหล่านั้น แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พระองค์ได้พบชื่อมโหสถจารึกอยู่บนเครื่องราชาภรณ์ของพระราชาเหล่านั้นทุกพระองค์ ไม่ชิ้นใดก็ชิ้นหนึ่ง
 
    เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พระเจ้าจุลนีถึงกับทรงตกตะลึง อึดอัดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระพักตร์เผือดลง พระเนตรฉายแววแห่งความสะดุ้งกลัว ท้าวเธอมิได้ตรัสสิ่งใด รีบเสด็จลุกจากพระแท่นแล้วเข้าสู่พระตำหนักรโหฐานทันที เมื่อเสด็จเข้าพระตำหนักก็ยิ่งกลัดกลุ้มในพระหฤทัยเป็นกำลัง เว้นแต่พราหมณ์อนุเกวัฏแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงเห็นผู้ใดที่จะทรงวางพระหฤทัยได้ จึงตรัสถามพราหมณ์อนุเกวัฏว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเห็นว่าเราควรทำอย่างไรดี ยังจะพอมีหนทางแก้ไขบ้างไหม”
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏ จึงกราบทูลแนะนำว่า “ขอเดชะ เห็นทีคงยากพระพุทธเจ้าข้า แต่พระองค์ก็อย่าได้ทรงเสียพระทัยไปเลย ข้าพระพุทธเจ้าจะขอตามเสด็จพระองค์ไปทุกหนแห่ง ทางที่ดีพระองค์ควรรีบเสด็จหนีไปเสียโดยเร็วในคืนนี้ทีเดียว อย่ารอให้ทหารของมโหสถมาจับพระองค์ได้ ถ้าขืนพระองค์ทรงชักช้าอยู่ก็จะไม่ทันการนะพระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าจุลนีตรัสด้วยพระสุรเสียง แสดงพระอาการรันทดว่า “ฉันต้องเปล่าเปลี่ยวถึงเช่นนี้ทีเดียวหรือ น่าอนาถจริงไม่มีใครอีกแล้วสิ ที่จะจงรักภักดีต่อฉัน แม้กระนั้นฉันก็ยังเป็นห่วงพวกเขาอยู่ดี หากฉันหนีไปแล้ว พวกเขาจะเป็นอย่างไร จะอยู่กันอย่างไร”
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏกราบทูลท้วงว่า “แต่โปรดทรงพระดำริให้รอบคอบก่อนพระพุทธเจ้าข้า การที่พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยห่วงใยคนเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้มีอัธยาศัยสูงส่ง บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำที่ดี ถึงแม้บุคคลพวกนั้นจะเป็นมิตรกับศัตรูก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ตามความปลอดภัยส่วนพระองค์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะพระองค์ คือ ผู้ที่จะขยายราชอาณาจักรไปทั่วทั้งชมพูทวีป ข้าพระพุทธเจ้าจะถวายความปลอดภัยแด่พระองค์ตลอดไป”
 
 
    “ไม่มีทางอื่นใดอีกแล้วหรือ นอกจากที่จะต้องไปเสียให้พ้นจากพวกนี้
เพราะฉันอดใจไม่ได้ที่จะเป็นห่วงพวกเขา ต่างก็เคยร่วมทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน ครั้นถึงคราวนี้ฉันจะต้องทอดทิ้งพวกเขาเหล่านี้ไปก็อดเศร้าใจไม่ได้” พระเจ้าจุลนีตรัสด้วยความรันทดพระหฤทัยอย่างยิ่ง
 
    “ขอเดชะ เป็นธรรมดาอยู่พระพุทธเจ้าข้า” พราหมณ์อนุเกวัฏทูลปลอบ “ได้โปรดทรงหักห้ามพระทัยเถอะ พระเจ้าพุทธเจ้าข้า ถึงอย่างไรคงมีสักวันหนึ่งที่พระองค์จะทรงได้พระราชอำนาจกลับคืนดังก่อน หรืออาจจะยิ่งกว่าก็ได้ พระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าจุลนีทรงมีรับสั่งที่หนักแน่นว่า “ท่านอาจารย์ช่างหวังดีต่อฉันมาก ฉันมองไม่เห็นใครอีกแล้วที่จะเป็นที่พึ่งได้ นอกเสียจากท่านเพียงผู้เดียว ตกลงคืนนี้เรากับท่านจะหนีไปด้วยกัน ท่านจงรีบไปเตรียมม้าฝีเท้าเร็ว ส่วนเราจะคอยอยู่ในที่นี้ เมื่อพร้อมแล้ว เราก็จะออกเดินทาง กลับปัญจาลนครทันที”
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏ รับพระราชดำรัสใส่เกล้าแล้ว ก็กราบถวายบังคมลา แล้วออกมาภายนอกด้วยความปลื้มใจในผลงานของตนครั้งนี้ ครั้นแล้วจึงรีบแจ้งข่าวนั้นให้ผู้สืบราชการของมิถิลานครทราบโดยทั่วกันว่า “พระเจ้าจุลนีกำลังจะเสด็จหนีกลับปัญจาลนครในเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ ท่านทั้งหลายจงคอยฟังสัญญาณจากข้าพเจ้าเถิด แล้วพวกเราทั้งหลายจะได้ช่วยกันขับไล่กองทัพฝ่ายปัญจาละ ให้แตกกระเจิงจนหมดสิ้นไปจากมิถิลานคร”
 
    เสร็จจากการนัดหมายแล้ว พราหมณ์อนุเกวัฏก็มุ่งตรงไปยังโรงม้าต้น จัดแจงผูกม้าพระที่นั่งอย่างมั่งคงแน่นหนา แต่ทว่าเป็นการผูกอย่างมีเงื่อนงำ คือ ถ้ารั้งม้าให้ช้า ม้าก็สำคัญว่าจะให้วิ่งเร็ว และถ้ายิ่งรั้งให้หยุด ม้าก็จะยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเพียงนั้น
 
    ครั้นผูกม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์อนุเกวัฏก็รอโอกาสที่พวกทหารพากันหลับสนิท แล้วจึงจะทูลเชิญพระเจ้าจุลนีขึ้นทรงม้าพระที่นั่งกลับสู่ปัญจาลนคร ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน อันเป็นคืนข้างแรมที่มืดสนิท เพราะปราศจากแสงสว่างของนวลพระจันทร์ จะมีก็แต่เพียงแสงดาวพราวพรายระยิบระยับประดับเวหาหน แสงดาวเหล่านั้นถึงจะมีมากมายนับด้วยแสนโกฏิดวง แต่ถึงกระนั้นก็มิได้อำนวยความสว่างแก่ผืนโลกเท่ากับพระจันทร์เพียงดวงเดียว
 
    ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดแห่งรัตติกาล พราหมณ์อนุเกวัฏกำลังจูงม้าพระที่นั่งที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ฝ่าความมืดสลัวและบรรยากาศอันเงียบเชียบวังเวง มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าพระตำหนักรโหฐานอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าจุลนี ครั้นแล้วจึงเข้าไปกราบทูลว่า...
 
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท บัดนี้ม้าทรงพร้อมแล้ว ขอพระองค์ทรงเสด็จในเวลานี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”
“อือ...ท่านอาจารย์ เราเตรียมตัวคอยอยู่นานแล้ว”
 
    พระองค์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา พระองค์มิได้ทรงรอรั้ง รีบเสด็จขึ้นม้าทรงที่พราหมณ์อนุเกวัฏจัดถวายทันที แล้วจึงเสด็จออกจากที่ประทับ โดยมีพราหมณ์อนุเกวัฏตามเสด็จ เพื่อถวายความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด แต่ครั้นพระเจ้าจุลนีทรงควบม้าพ้นจากฐานทัพไปได้สักหน่อย พราหมณ์อนุเกวัฏก็รีบชักม้าหวนกลับมาทางเดิม ปล่อยให้พระเจ้าจุลนีทรงควบม้าพระที่นั่งไปโดยลำพังพระองค์เดียว
 
    พระเจ้าจุลนีทรงควบม้าพระที่นั่งบ่ายพระพักตร์ มุ่งไปทางปัญจาลนคร เมื่อเสด็จพ้นฐานทัพไปไกลแล้ว จึงทรงเหลียวกลับมาดู แต่กลับไม่ทรงเห็นพราหมณ์อนุเกวัฏตามมา เมื่อทรงรู้ว่าพระองค์เสด็จมาเพียงลำพังพระองค์เดียว ก็ทรงพรั่นพรึงพระหฤทัย ทรงชักม้าพระที่นั่งเพื่อจะหยุดรอดูพราหมณ์อนุเกวัฏ แต่ปรากฏว่าม้าพระที่นั่งเกิดบังคับไม่อยู่ ยิ่งรั้งยิ่งดึงก็ยิ่งห้อตะบึงไปท่าเดียว พระองค์จึงต้องทรงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
 
    เมื่อกองทัพปัญจาละขาดผู้นำเสียแล้ว สถานการณ์ภายในกองทัพจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita140.html
เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 05:40
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv