สาลิกาได้ฟังดังนั้น ก็รีบเอียงหน้าหลบด้วยความเหนียมอาย ไม่กล้าจ้องมองสุวโปดกตรงๆ ครั้นแล้วจึงตอบสุวโปดกเบาๆว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...พี่สุวโปดก”
“อืมม...ดีจ้ะ งั้นพี่จะเล่าให้น้องฟังต่อนะ” สุวโปดกจึงเล่าต่อไปว่า “ต่อมาไม่นานนัก พวกกินนรจึงได้ขอร้องให้นางกินนรีตนหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีสามี ชื่อว่า รัตนาวดี ให้ไปช่วยอ้อนวอนขอความเห็นใจจากพระฤาษี และหากว่าพระฤาษียอมช่วย พวกตนก็จะมอบนางรัตนาวดีให้เป็นบาทบริจาริกา ช่วยปรนนิบัติบำเรอพระฤาษี
ฝ่ายพระฤาษี เมื่อได้เห็นกินรีรัตนาวดีเท่านั้น ก็ตกหลุมรักนางในทันที ในที่สุดจึงยอมรับข้อเสนอของเหล่ากินนรอย่างง่ายดาย พระฤาษีไม่รอช้า รีบไปสู่ปากประตูถ้ำ แล้วใช้ค้อนตีแมงมุมยักษ์ ซึ่งกำลังออกมาหากินจนตายในที่นั้นเอง เมื่อปราบแมงมุมยักษ์ได้แล้ว ก็รับเอานางกินรีนั้นมาเป็นภรรยา และอยู่ร่วมกันจนมีบุตรธิดาด้วยกัน ณ ที่นั้นเอง”
พอเล่าจบ สุวโปดกก็ชักเข้าสู่ประเด็นเหมือนเช่นครั้งแรกว่า “น้องสาลิกาจ๋า เห็นไหมจ้ะ มนุษย์ผู้ทรงศีลก็ยังอยู่ร่วมกับกินรีผู้เป็นดิรัจฉานได้ จะกล่าวไปไยถึงเราทั้งสอง ซึ่งเป็นดิรัจฉานด้วยกันจะอยู่ร่วมกันไม่ได้เชียวหรือ”
สาลิกาได้ฟังเรื่องเล่าจากสุวโปดกแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “พอแล้วจ้ะพี่ น้องสาลิกาเชื่อแล้ว แต่...”
“แต่อะไรหรือจ้ะ...” สุวโปดกซักนางทันที
“แต่พี่เจ้าขา ธรรมดาใจของบุรุษเป็นดั่งกระแสน้ำลึกที่ไหลเชี่ยวกราก ยากแท้จะหยั่งถึง ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะตื้นลึกสักเพียงใด และอารมณ์ของบุรุษก็เป็นดุจกระแสคลื่นในทะเล ขึ้นลงๆอยู่ทุกวี่วัน ไม่มั่นคงเป็นหนึ่งเดียว ฉะนั้น...จึงไม่อาจถือเอาเป็นประมาณได้ น้องกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพี่น่ะ จะมาหว่านล้อมให้น้องตายใจ พอสมใจพี่แล้วก็ทิ้งไป ปล่อยให้น้องต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย...
พี่ก็รู้มิใช่หรือว่า ความอ้างว้างว้าเหว่เป็นภัยที่น่ากลัวยิ่งนักสำหรับสตรี และทุกข์ใดๆก็ไม่เท่ากับการพลัดพรากจากบุรุษผู้เป็นที่รัก หากว่าความรักของพี่เริ่มต้นด้วยการเคียงคู่กัน แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยการเลิกร้าง น้องก็จะไม่ขอรับรักพี่เสียดีกว่า จะได้ไม่ทุกข์ใจในภายหลัง จริงไหมจ้ะ”
สุวโปดกฉลาดในมายาสตรี รู้ว่าถ้อยคำที่นางพูดมิได้ตรงกับใจ เพราะทีท่าของนางบ่งบอกถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้า แต่วาจากลับปฏิเสธเหมือนต้องการจะลองใจตน สุวโปดกจับทางของนางสาลิกาออก จึงแกล้งพูดขึ้นเหมือนไม่สบอารมณ์ว่า...
“เอาเถอะน้องสาลิกา หากเจ้าไม่ไว้ใจพี่ และเห็นว่าพี่ไม่คู่ควรกับน้อง พี่ก็จะขอลากลับล่ะ พี่มาในที่นี้ด้วยหวังจะขอให้น้องเป็นคู่ชีวิตไปจนตราบชีวาจะหาไม่ แต่น้องกลับตีค่าความปรารถนาดีของพี่ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ไร้ค่าไร้ความหมาย น้องช่างดูหมิ่นพี่เหลือเกิน ก็ในเมื่อน้องไม่เห็นความสำคัญของพี่ พี่ก็จะแสวงหานางสาลิกาอื่นมาเป็นภรรยา”
นางนกสาลิกาได้ฟังคำตัดพ้อของสุวโปดก รู้สึกปานประหนึ่งใจจะขาดรอนๆ ความรุมร้อนด้วยเพลิงราคะเผาลนจิตใจมาตั้งแต่ได้ฟังเสียงของนกหนุ่ม ยิ่งได้เห็นตัว ได้สนทนาพาที บ่วงรักก็ยิ่งรัดรึงจิตใจของนางมากขึ้นเป็นทับทวี แต่ที่ทำเป็นไม่ปรารถนา ก็เพียงกระบิดกระบวนไปตามวิสัยของสตรีเท่านั้น
ครั้นเห็นสุวโปดกพูดจาขึงขัง ทำท่าจะไปจริงๆ นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่จ๋า พี่จะรีบร้อนไปไย ขอจงฟังคำของน้องก่อนเถิด พี่น่ะเป็นบัณฑิต ย่อมจะรู้ดีว่า ตามธรรมดาสิริย่อมไม่คู่ควรแก่ผู้ด่วนได้ใจเร็ว สำหรับน้องแล้ว การเลือกคู่ครองเป็นเรื่องสำคัญ จำต้องคิด ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจึงจะควร...
พี่จงอยู่ที่นี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งด่วนจากน้องสาลิกาไปเลย รอดูเจ้าเหนือหัวของน้องก่อน แล้วพี่ก็จะได้เห็นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ จะได้ฟังเสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะโสต ผสานเสียงขับร้องบรรเลงเพลงของเหล่านารีผู้เลอโฉมในเวลาเย็นวันนี้แหละจ้ะ”
สุวโปดกเมื่อเห็นว่า นางนกสาลิกาผูกสมัครรักใคร่ตนทั้งกายทั้งใจแล้ว ก็บันเทิงเริงใจยิ่งนัก แล้วในเย็นวันนั้นเอง ทั้งสองต่างก็ได้ร่วมสมัครสมานกันฉันสามีภรรยา ต่างชื่นชมกันและกัน รักใคร่เอาอกเอาใจกันด้วยความรักที่หวานฉ่ำ
ทั้งหมดนี้เป็นอุบายของสุวโปดก เพื่อที่จะหลอกถามความลับจากนางนกสาลิกา โดยที่คำพูดหว่านล้อมเหล่านั้น ไม่มีความจริงใจกับนางนกสาลิกานั้นเลย คิดแต่เพียงที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จเท่านั้น ส่วนว่าสุวโปดกจะล้วงความลับจากนางนกสาลิกาอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)