ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 176
 
 
    จากตอนที่แล้ว อาจารย์เสนกะอดที่จะสงสัยไม่ได้ จึงเอ่ยถามมโหสถว่า “พ่อบัณฑิต แล้วนี่ท่านจะพาพวกเราหนีไปทางไหนกันเล่า”
 
    มโหสถจึงแจ้งว่า “ข้าพเจ้าได้เตรียมอุโมงค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้ทุกคนได้เตรียมตัวให้พร้อมเถิด” เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วมโหสถจึงเดินนำเสด็จไปที่ทางเข้าประตูเข้าอุโมงค์ทันที

    ฝ่ายอาจารย์เสนกะ พอเริ่มออกเดินเท่านั้น ก็รีบถอดผ้าโพกศีรษะออก ค่อยๆปลดผ้านุ่งออกแล้วบรรจงผูกใหม่ให้มั่นคง เพื่อจะเตรียมเดินลงอุโมงค์ ถึงต้องเปลื้องผ้าโพกหัว แล้วหยักรั้งให้มั่นคง จะเดินได้สะดวกๆ

    มโหสถเห็นจึงยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ท่านเสนกะ ท่านน่ะอย่าได้สำคัญผิดไปว่าอุโมงค์ของข้าพเจ้าแคบเสียจนต้องยอบตัวคุกเข่าคลานเข้าไปเลยนะ เพราะอุโมงค์นี้น่ะ สูงถึง 18ศอกเชียวนา ประตูก็กว้างขวาง ภายในก็โอ่อ่า หากท่านต้องการจะขี่ช้างไปก็เชิญ จะขี่ม้าไปก็ตามสะดวก หรือท่านจะแต่งกายอย่างไรก็ตามใจ แต่ก็ขอให้เดินนำหน้าท้าวเธอไปก็แล้วกัน”
 
    ว่าแล้ว ก็ให้อาจารย์เสนกะเดินนำหน้าพระราชาไป ส่วนตนก็ตามเสด็จรั้งท้าย เพื่อทูลเตือนพระองค์ให้รีบเสด็จโดยเร็วที่สุด เพราะขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่ชั่วคืนเดียวเท่านั้น หากพระองค์มัวแต่ทรงชักช้า เสียเวลาทอดพระเนตรอุโมงค์ซึ่งประดับประดาอย่างอลังการอยู่ เกรงว่าจะไม่ทันการ

    มโหสถต้องคอยทูลเตือนพระองค์อยู่เรื่อยๆว่า “เชิญใต้ฝ่าละออง
ธุลีพระบาทรีบเสด็จเถิด พระเจ้าข้า”

    ฝ่ายทหารของมโหสถ ที่คุมกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์อยู่นั้น เมื่อทราบว่าพระเจ้าวิเทหราชใกล้จะเสด็จมาถึงแล้ว ก็รีบทูลเชิญพระนางสลากเทวี พระนางนันทาเทวี พระปัญจาลจันทกุมาร และพระนางปัญจาลจันที ออกจากอุโมงค์ แล้วนำเสด็จเข้าสู่พลับพลาที่ประทับ ซึ่งสร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำคงคา ห่างจากพระนครแห่งใหม่ราว 300เส้น (12 กิโลเมตร)
 
    เมื่อกษัตริย์เหล่านั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าวิเทหราชเสด็จมา พร้อมกับมโหสถบัณฑิต ก็ทรงทราบทันทีว่า “แท้ที่จริงทหารเหล่านี้ก็คือ คนของมโหสถที่หลอกจับตัวพระองค์มา และแน่นอนว่าบัดนี้พระองค์ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูแล้วโดยมิต้องสงสัย”

    ครั้นแล้ว ทุกพระองค์ก็พากันตกพระทัยกลัว ต่างส่งพระสุรเสียงร้องดังสนั่นทั่วบริเวณ แล้วจึงกันแสงคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา

    ในคืนนั้นเอง พระเจ้าจุลนีก็เสด็จยกพลทั้ง 18กองทัพไปตั้งค่ายอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา เพราะทรงเกรงว่าพระเจ้าวิเทหราชจะเสด็จหนีกลับไปทางเดิม ขณะนั้นราตรีเงียบสงัด เสียงคร่ำครวญของกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์แว่วดังไปถึงพระกรรณของพระเจ้าจุลนี

    พระเจ้าจุลนี ทรงสดับเสียงสะอื้นไห้แว่วมาแต่ไกล ก็ทรงจำได้แม่นว่าเป็นพระสุรเสียงของพระนางเจ้านันทาเทวี พระมเหสีของพระองค์เอง

    พระเจ้าจุลนี ทรงกระวนกระวายพระทัย มีพระประสงค์จะตรัสว่า “พวกท่านจงฟังซิ นั่นเสียงพระนางนันทาเทวีใช่รึไม่” แต่แล้วก็ทรงยับยั้งพระทัยไว้ มิได้ตรัสอะไรออกมา เพราะเกรงว่าเหล่าแม่ทัพนายกองจะพากันเย้ยหยันว่า “เห็นทีว่าพระองค์คงจะทรงห่วงใยพระมเหสีมากเกินไปกระมัง จึงแว่วได้ยินเป็นเสียงของพระนางไป”

    ฝ่ายมโหสถบัณฑิต นำเสด็จพระเจ้าวิเทหราชขึ้นประทับบนพลับพลาเรียบร้อยแล้ว ก็ทูลเชิญพระราชธิดาปัญจาลจันทีขึ้นสู่ที่ประทับอันประดับประดาตกแต่งไว้อย่างดีแล้ว ให้พระนางประทับอยู่คู่กับพระเจ้าวิเทหราช ครั้นแล้วจึงได้ทำพิธีราชาภิเษกสมรสให้ทั้งสองพระองค์ พร้อมทั้งกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า “ขอเดชะ มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาถึงนี่ เพราะทรงปรารถนาสิ่งใด บัดนี้ความปรารถนานั้นได้สำเร็จดังมโนรถของพระองค์แล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงรับพระราชกุมารีนี้ไว้ในฐานะพระอัครมเหสีของพระองค์เถิด พระเจ้าข้า”

    ครั้นเสร็จพิธีแล้ว พระเจ้าวิเทหราชพร้อมกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ ก็เสด็จลงสู่เรือพระที่นั่งซึ่งรอเทียบท่าอยู่แล้ว ส่วนข้าราชบริพารและไพร่พลที่ตามเสด็จมาก็ทยอยขึ้นเรือจำนวน 300ลำที่มโหสถได้จัดเตรียมไว้

    ครั้นเห็นว่า พระเจ้าวิเทหราชประทับนั่งบนเรือพระที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะปล่อยเรือทั้งหมดออกจากท่า มโหสถซึ่งยืนส่งเสด็จอยู่ริมฝั่ง จึงได้ถือโอกาสกราบทูลสั่งความแด่พระเจ้าวิเทหราชว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระองค์ใคร่ขอถวายอนุศาสน์แด่พระองค์สักอย่างหนึ่ง ขออย่าได้ทรงวินิจฉัยไปด้วยประการอื่นใดเลย พระเจ้าข้า ว่า...
 
    นับแต่นี้ไป ขอให้พระองค์ทรงถือเสียว่า พระเจ้าจุลนีและพระนางนันทาเทวีนั้นเป็นดุจพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์เอง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระประยูรญาติใกล้ชิดของพระองค์เช่นไร ก็ขอให้ทรงปฏิบัติต่อกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ดุจเดียวกัน ขอพระองค์อย่าได้ทรงดูเบาในข้อนี้เป็นอันขาด...

    ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงเคารพพระนางสลากเทวีเสมือนเป็นพระญาติผู้ใหญ่ ทรงเอ็นดูพระปัญจาลจันทราชกุมารเสมือนเป็นพระญาติผู้น้อย และขอได้ทรงยกย่องพระนางปัญจาลจันทีไว้ตำแหน่งพระอัครมเหสีของพระองค์ อย่าได้ทรงดูหมิ่นพระนางเลย พระเจ้าข้า”

    การที่มโหสถกราบทูลเช่นนี้ เพราะเกรงว่าหากพระเจ้าวิเทหราชทรงกริ้วพระเจ้าจุลนีขึ้นมาเมื่อใด พระองค์ก็จักสั่งให้สำเร็จโทษพระชนนี พระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าจุลนีเสีย

    ส่วนพระนางนันทาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าจุลนีนั้น ทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก หากพระเจ้าวิเทหราชไม่ทรงอดพระทัยไว้ ก็จะทรงขืนพระทัยพระนางด้วยการร่วมอภิรมย์กับพระนางเสียก็เป็นได้

    ดังนั้น มโหสถจึงต้องขอให้พระเจ้าวิเทหราชทรงถือคำมั่นสัญญานี้อย่างหนักแน่น ก็เพื่อความปลอดภัยของกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ และเพื่อแผนการภายภาคหน้าสืบไปด้วย
 
    พระเจ้าวิเทหราช ก็ทรงให้ปฏิญญาตามคำทูลขอร้องของมโหสถทุกอย่าง ส่วนว่ามโหสถจะมีแผนการอย่างไรต่อไปในภายภาคหน้า ที่จะทำให้การทำหน้าที่ของตนสมบูรณ์ที่สุดนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita176.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 18:18
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv