ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 180
 
 

    จากตอนที่แล้ว มโหสถเปิดสีหบัญชรสำแดงกายให้ปรากฏแก่พระเจ้าจุลนี เดินไปมาด้วยลีลาอันงามสง่า พระเจ้าจุลนีทรงพระเนตรเห็นแต่มโหสถ จึงทรงมีพระบัญชาให้เคลื่อนกองทัพทั้งหมดเข้าประชิดพระนครทุกด้าน ส่วนพระองค์เองก็ทรงเร่งไสช้างรุกเข้าไปโดยมิทรงรั้งรอ มุ่งหมายจะจับมโหสถให้ได้

    มโหสถเห็นเช่นนั้น จึงนึกในใจว่า “พระเจ้าจุลนีเห็นทีว่าคงยังไม่ทรงทราบว่า บัดนี้เราได้จับกุมพระโอรส พระธิดา และพระมเหสีผู้เป็นที่รักของพระองค์ ส่งไปยังมิถิลานครพร้อมกับเจ้าเหนือหัวของเราแล้ว”
 
    คิดดังนี้แล้ว จึงพลางกล่าวขึ้นว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์จะทรงด่วนไสช้างมาทำไมกัน หม่อมฉันจักขอโอกาสกราบทูลพระองค์ว่า เสียใจด้วยพระพุทธเจ้าข้า ความมุ่งหมายของพระองค์จักล้มเหลวเป็นแน่ และข้าพระองค์เชื่อว่าจะไม่มีวันสำเร็จได้อย่างแน่นอน”

    พระเจ้าจุลนี ทรงสดับถ้อยคำเย้ยหยันของมโหสถแล้ว ก็ยิ่งทรงพระพิโรธหนักขึ้นเป็นทับทวี จึงตรัสขู่ว่า “มโหสถเอ๋ย...ข้าจะบอกให้รู้ไว้ด้วยว่า บัดนี้มรณสัญญาได้ปรากฏแล้วแก่เจ้า วันนี้แหละ ข้าจะตัดศีรษะเจ้าเสีย แล้วดื่มฉลองชัยให้สำราญทีเดียว”

    มโหสถฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า “พระเจ้าจุลนีไม่รู้จักเรามโหสถบัณฑิตเสียเลย แม้จะเคยพ่ายแพ้เรามาแล้วครั้งหนึ่งก็ยังไม่ซาบซึ้งเป็นแน่ เอาล่ะ วันนี้จักได้รู้กันอีก”

    จึงทูลข่มขี่ว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์จะจับพระเจ้าวิเทหราชไม่ได้หรอก เพราะว่าพระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทรงเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาไปตั้งแต่วานนี้แล้ว หากพระองค์จะทรงเร่งติดตามต่อไป ก็จะเป็นเหมือนเหยี่ยวกาที่บินตามพญาหงส์ทอง ไม่มีวันตามทันอย่างแน่นอน ยิ่งเร่งบินก็เหมือนเร่งตกลงมาตายเท่านั้น พระเจ้าข้า”

    ครั้นมโหสถ เห็นว่าพระเจ้าจุลนียังทรงนิ่งอยู่ จึงได้กล่าวเปรียบเปรยต่อไปว่า “ขอเดชะ ดอกทองกวาวถูกแสงจันทร์ในยามราตรีสาดส่อง จึงแลเห็นเหมือนชิ้นเนื้อสด ฝูงสุนัขจิ้งจอกเห็นดอกทองกวาวนั้นบานสะพรั่งอยู่ในยามราตรี ต่างก็พากันสำคัญว่าเป็นชิ้นเนื้อสด จึงพากันวิ่งกรูกันเข้าล้อมต้นไว้ตลอดทั้งคืน โดยหวังจะได้กินชิ้นเนื้อในวันรุ่งขึ้น แต่แล้วเมื่อราตรีกาลผ่านพ้นไป ดวงอาทิตย์อุทัยจำรัสขึ้น ฝูงสุนัขจิ้งจอกจึงรู้ว่าเป็นดอกทองกวาว ต่างพากันสิ้นหวัง วิ่งกลับไปอย่างละห้อยละเหี่ยใจ ฉันใด

    พระองค์ก็เช่นกัน ทรงยกทัพเข้าล้อมจับพระเจ้าวิเทหราช แต่เมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าวิเทหราชไม่ได้อยู่ในที่นี่เสียแล้ว พระองค์ก็จักทรงสิ้นหวังเสด็จกลับไป เหมือนสุนัขจิ้งจอกหมดความอยากแล้ววิ่งกลับไป ฉะนั้น”

    ถ้อยคำของมโหสถที่ประกาศความเหนือชั้นกว่า ราวกับผู้กำชัยไว้แล้วในอุ้งมือ โดยไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงต่อกองกำลังของพระเจ้าจุลนีเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว

    บัดนี้ ได้เป็นเสมือนลมปากที่โหมพัดเพลิงโทสะในพระทัยของพระเจ้าจุลนีให้ลุกโพลง ท้าวเธอทรงพระดำริว่า “มโหสถกล้ายืนกรานว่าพระเจ้าวิเทหราชหนีไปแล้ว นี่คงจะเป็นเรื่องจริงโดยมิต้องสงสัย”

    พระเจ้าจุลนีทรงกริ้วเป็นกำลัง พลางรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนว่า “เพราะมโหสถคนเดียว เราถึงต้องหนีกลับปัญจาลนครจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด มาคราวนี้วิเทหราชกำลังจะตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเราแท้ๆ แต่มันก็ช่วยให้หนีไปได้อีก มันเป็นตัวการก่อวินาศให้เรามากมายนัก มันทำความฉิบหายให้แก่เรามากถึงเพียงนี้ ควรแล้วที่เราจักรวบโทษที่ควรทำแก่วิเทหราช รวมไว้ที่มันแต่เพียงผู้เดียว ถึงจะสาสมกับความเลวร้ายที่มันบังอาจทำกับเรา”

    พระเจ้าจุลนี เมื่อจะทรงสั่งลงโทษทัณฑ์มโหสถให้สาสมแก่ความผิด จึงรับสั่งว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงรุมตัดมือ เท้า หู และจมูกของมัน เสียบมันด้วยหลาวเหล็กแล้วย่างให้ร้อนเหมือนย่างเนื้อ จงช่วยกันทิ่มแทงมันด้วยหอก ถลกเนื้อเถือหนังด้วยตะขอหลาว ให้สมแก่ความแค้นที่มันกล้าปล่อยวิเทหราชศัตรูของเราให้หนีไปได้”

    มโหสถได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ พลางคิดว่า “เห็นทีพระเจ้าจุลนีคงยังไม่ทราบว่า พระมเหสีพร้อมด้วยพระโอรสและพระธิดาของพระองค์ถูกเราจับกุมตัวส่งไปมิถิลานครแล้ว พระองค์จึงคิดจะทำร้ายเราให้ย่อยยับ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องให้พระองค์ประสบทุกข์อย่างสาหัสทีเดียว หากได้ทรงทราบความจริงแล้ว ความโศกย่อมท่วมทับพระหทัย ในที่สุดพระองค์ก็จะสลบอยู่บนหลังช้างเอง”

    แล้วมโหสถ ก็ทูลโต้ตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “จะเป็นไรไปเล่าพระพุทธเจ้าข้า พระองค์จะตัดมือ ตัดเท้า ตัดหัว ตัดจมูกของข้าพระองค์เสียก็ได้ แต่โปรดทรงรู้ไว้เถิดว่า พระราชาของข้าพระองค์ก็จักให้ตัดพระหัตถ์ พระบาท พระกรรณ และพระนาสิก ของพระมเหสี พระโอรส และพระธิดาของพระองค์เช่นเดียวกัน และถ้าพระองค์ให้เสียบเนื้อข้าพระองค์ด้วยหลาวแล้วย่างไฟให้ร้อน พระเจ้าวิเทหราชก็จักเสียบพระมเหสี ราชบุตร และราชธิดาของพระองค์เหมือนกัน

    หรือไม่เช่นนั้น ถ้าพระองค์จะสั่งให้ทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชก็จักทิ่มแทงพระมเหสี พระโอรส และพระธิดาของพระองค์ด้วยหอกเช่นกัน

    ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพิจารณาด้วยพระปรีชาญาณเองเถิดว่า พระประยูรญาติของพระองค์จะทรงได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสสักเพียงใด พระองค์ไม่ทรงสงสารพระนางนันทาเทวี พระกุมารปัญจาลจันทะ และพระธิดาปัญจาลจันทีบ้างเลยหรือพระเจ้าข้า

    ขอเดชะ แม้พระองค์จะทรงขู่เข็ญข้าพระองค์สักเท่าใด ข้าพระองค์ก็มิได้สะดุ้งกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะบัดนี้ข้าพระองค์ได้เตรียมการป้องกันภัยไว้แล้วด้วยความไม่ประมาท เปรียบเสมือนโล่หนังที่คอยรับลูกธนูที่ยิงมาดังห่าฝน ไม่ให้เจาะทะลุเข้าไปทำให้ระคายเคืองผิวหนังได้ เชิญเถิดพระพุทธเจ้าข้า เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทลงโทษข้าพระองค์ตามแต่ทรงปรารถนาเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

    เหตุการณ์ปะทะคารมทั้งสองฝ่าย ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเป็นทับทวี โดยเฉพาะฝ่ายมโหสถได้งัดไม้ตายมาปราบพระเจ้าจุลนีให้หมดความกำแหง โดยการแจ้งว่าขณะนี้ พระมเหสีพร้อมด้วยพระโอรสและพระธิดาได้อยู่ในกำมือของพระเจ้าวิเทหราชเสียแล้ว
 
    ส่วนว่าพระเจ้าจุลนี จะทรงเชื่อหรือไม่ เพราะว่าก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกจากเมือง ก็ได้จัดการอารักขากษัตริย์ทั้งสี่ไว้เป็นอย่างดี เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita180.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 16:24
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv