ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 197
 

    จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีทรงพระอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต ขณะที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ พระราชบิดาของพระเจ้าจุลนีทรงพระนามว่า มหาจุลนี ท้าวเธอทรงอภิเษกพระนางสลากเทวีเป็นพระมเหสี ต่อมาพระนางสลากเทวีทรงลอบเป็นชู้กับฉัพภิพราหมณ์ จึงได้ปลงพระชนม์พระเจ้ามหาจุลนี แล้วยกราชสมบัติทั้งหมดให้ฉัพภิพราหมณ์ ตั้งแต่พระเจ้าจุลนียังทรงพระเยาว์

    ฉัพภิพราหมณ์คิดที่จะฆ่ากุมารนี้ให้ตาย เพื่อขจัดเสี้ยนหนามให้สิ้นซาก จึงได้ปรึกษาพระนางสลากเทวี พระนางก็ไม่ปรารถนาจะขัดใจฉัพภิพราหมณ์ แต่ด้วยความรักบุตรจึงหาอุบายลวงฉัพภิพราหมณ์ โดยได้เรียกพ่อครัวซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาเข้าเฝ้า รับสั่งว่า “นับแต่นี้ไป เราขอฝากลูกจุลนีให้เล่นอยู่กับธนูเสกข์ลูกของเจ้า ในเรือนทุกวัน เมื่อถึงเวลานอน เจ้าก็จงพาเด็กทั้งสองนอนด้วยกันกับเจ้าเสียในห้องเครื่องด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสงสัยแล้ว เจ้าก็จงวางกระดูกแพะไว้บนที่นอน แล้วจงจุดไฟเผาห้องเครื่องเสีย จากนั้นเจ้าจงรีบพากุมารทั้งสองหนีออกไปนอกแคว้น อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”

    ภายหลังเกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้นในห้องเครื่อง พระนางสลากเทวีก็ได้นำกระดูกที่พบในห้องเครื่องมาแสดงแก่ฉัพภิพราหมณ์ ตรัสว่า “บัดนี้ท่านสมปรารถนาในทุกสิ่งแล้ว จุลนีกุมารถูกไฟครอกตายในห้องครัวพร้อมกับพ่อครัวและลูกชายของพ่อครัวแล้ว”
 
    จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หากมิได้พระราชมารดาสลากเทวีทรงปลดเปลื้องพระกุมารให้รอดพ้นจากมรณภัย พระจุลนีราชกุมารก็คงถูกฉัพภิพราหมณ์ปลงพระชนม์เสียแล้วตั้งแต่คราวนั้นทีเดียว เพราะเหตุนี้เองพระแม่เภรีจึงทูลถามพระองค์ว่า “ควรแล้วหรือที่พระองค์จักประทานพระราชมารดาผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงแก่ผีเสื้อน้ำ”

    พระเจ้าจุลนีทรงสดับคำของพระแม่เภรีแล้ว ก็ตรัสตอบว่า “พระแม่เจ้า ข้อที่เสด็จแม่ทรงมีพระคุณแก่ฉันมากล้นเกินประมาณนั้น ฉันตระหนักแก่ใจดีและไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้เลย”

   “อย่างไรกันมหาบพิตร พระองค์ทรงเล็งเห็นโทษบางประการของพระมารดาอย่างนั้นหรือ” พระแม่เภรีใคร่อยากจะทราบเหตุผล

    “แน่นอนทีเดียว ถ้าเช่นนั้น พระแม่เจ้าลองพิจารณาดูพระจริยาวัตรของเสด็จแม่ก็แล้วกัน เสด็จแม่ของฉันแม้จะทรงชราภาพแล้ว แต่ก็ยังแต่งองค์ทรงเครื่องประดับที่ไม่เหมาะสมแก่วัยของพระองค์ ก็ในเวลาที่ฉันนั่งอยู่กับพวกอำมาตย์ในท้องพระโรง เสด็จแม่ทรงสังวาลทองฝังเพชรแพรวพราวอย่างที่ทรงโปรด เสด็จดำเนินเยื้องกรายไปมาเยี่ยงดรุณวัยสาว เสียงสายสังวาลกระทบกันดังสะท้านวังทีเดียว...
 
    เท่านั้นยังไม่พอ เสด็จแม่ยังทรงพอพระทัยที่จะทรงสรวลเสเฮฮากับพวกคนเฝ้าประตูและคนฝึกช้าง ซึ่งคนเหล่านั้นไม่คู่ควรที่พระองค์จะตรัสด้วย บางคราวก็ทรงหยอกล้อกับคนเหล่านั้นจนเกินไป ยิ่งกว่านั้น เสด็จแม่ยังทรงสั่งทูตให้ถือสาสน์ในนามของฉัน ไปถวายเจ้าผู้ครองนครประเทศราช  มีใจความว่า เสด็จแม่ของหม่อมฉันยังทรงอยู่ในวัยบันเทิงเริงรื่น ขอพระองค์จงเสด็จมารับเสด็จแม่ของหม่อมฉันไปอยู่ด้วยเถิด

    พระราชาเหล่านั้นก็พากันส่งพระราชสาสน์ตอบกลับมาถึงฉันว่า พวกหม่อมฉันควรเป็นผู้รับใช้ของพระองค์มิใช่หรือ เหตุใดพระองค์จึงทรงมีพระดำรัสกับพวกหม่อมฉันเช่นนี้เล่า

    พระแม่เจ้าลองคิดดูเถอะว่า ในเวลาที่พระราชสาสน์นั้นถูกนำมาอ่านในท่ามกลางที่ประชุมชน ตัวฉันซึ่งเป็นพระราชาผู้มีอำนาจเหนือชมพูทวีปจะรู้สึกเช่นไร ขณะนั้นฉันย่อมไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังถูกตัดศีรษะ

    พระแม่เจ้าโปรดพิจารณาเถิด เสด็จแม่ทรงให้กำเนิดฉันมา แต่ทรงมีพระจริยาวัตรเช่นนี้ ฉันควรจะทำอย่างไร ฉะนั้นหากว่าเรื่องที่พระแม่เจ้าสมมติขึ้นเป็นปัญหานั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาสักวัน ฉันก็แน่ใจว่า เสด็จแม่คงเป็นคนแรกที่ฉันจะส่งให้ผีเสื้อน้ำกิน”

    พระแม่เภรีฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ก็ทูลถวายพระพรต่อไปว่า “หากพระมารดาของมหาบพิตรทรงมีโทษดังที่ได้ตรัสมา การที่มหาบพิตรจะทรงมอบให้แก่ผีเสื้อน้ำก่อนนั้น ก็เป็นพระดำรัสที่ชอบด้วยเหตุผล แต่พระนางนันทาเทวีนั้นเล่า ทรงเป็นพระชายาผู้ทรงรักและภักดีต่อมหาบพิตรมากเหลือเกิน ถ้ามหาบพิตรจะทรงอนุสรณ์ถึงความหลังเมื่อครั้งประทับอยู่ในมัททรัฐ...

    พระนางนันทานั้น ทรงพระสิเนหาในมหาบพิตรมากเพียงไร พระนางทรงติดตามมหาบพิตรเรื่อยมา ดุจดังพระฉายาคู่พระกายของมหาบพิตร พระนางไม่เคยเลยที่จะทรงโกรธตอบ ทรงมีพระทัยเยือกเย็นหนักแน่น พระดำรัสน่ารัก ศีลาจารวัตรก็งามสมเป็นขัตติยาณี และทรงมุ่งความเจริญของมหาบพิตรแต่เพียงอย่างเดียว...

    พระนางทรงคุณถึงเพียงนี้ แต่เหตุไฉน มหาบพิตรจึงทรงดำริว่า จะทรงส่งพระนางให้ผีเสื้อน้ำกินเสียเล่า ขอถวายพระพร”

    เหตุที่พระแม่เภรีทูลถามเช่นนั้น ก็ด้วยปรารถนาจะให้พระเจ้าจุลนีทรงพระอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ในอดีต เมื่อครั้งที่ทรงนิราศจากปัญจาลนคร ติดตามพ่อครัวไปประทับอยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากรุงมัททราช ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีเรื่องราวอันน่าสนใจที่ดำเนินต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในคำถามข้อแรก ดังนี้

    ฝ่ายพ่อครัวผู้จงรักภักดีต่อพระนางสลากเทวี เมื่อจุดไฟเผาห้องครัวของตนแล้ว ก็รีบพากุมารทั้งสองหนีออกจากปัญจาลนครไปให้ไกลที่สุด กระทั่งเข้าสู่แคว้นมัททรัฐ ขณะนั้น พระเจ้ามัททราชแห่งมัททรัฐทรงปลดพ่อครัวคนเก่าออก ตำแหน่งพ่อครัวในพระราชวังจึงว่างลง พ่อครัวซึ่งหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในมัททรัฐ จึงได้ถือโอกาสนั้น เข้าไปสมัครเป็นพ่อครัวรับใช้ในวังแทนพ่อครัวคนเก่า พระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรเห็นกุมารทั้งสองซึ่งติดตามพ่อครัวเข้ามาอยู่ในพระราชวัง จึงตรัสถามว่า “เด็กทั้งสองนี้เป็นบุตรของใคร”

   พ่อครัวก็ปิดบังว่า “เด็กทั้งสองเป็นบุตรของข้าพระองค์เอง พระเจ้าข้า”

    พระเจ้ามัททราชทรงสงสัย จึงซักต่อว่า “เหตุใดจึงมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย”

    พ่อครัวรีบทูลแก้ว่า “เป็นเพราะเกิดต่างมารดากัน พระเจ้าข้า”

    พระจุลนีราชกุมารนั้น ทรงมีพระลักษณะแตกต่างจากเด็กทั่วๆไป คือ มีรูปร่างสง่างาม ผิวพรรณผุดผ่องผิดกับเด็กธรรมดา

    ส่วนว่าพระเจ้ามัททราช เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นความแตกต่างของเด็กทั้งสองคนแล้ว พระองค์จะมีวิธีการทดสอบพระจุลนีราชกุมารอย่างไรว่ามิใช่เป็นเด็กธรรมดา โปรดติดตามตอนต่อไป  

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/mahosathapandita197.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 14:16
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv