ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  เนมิราช   ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี  ตอนที่ 12
 

        จากตอนที่แล้ว พระเจ้าเนมิราชได้ชมขุมนรกที่ ๑๔ มีชื่อว่า อวังสิรนรก มีลักษณะเป็นหลุมถ่านเพลิงใหญ่ เหล่าสัตว์นรกกำลังถูกนายนิรบาลถืออาวุธไล่จับโยนลงในหลุมนั้น  จากนั้นก็จะถูกภูเขาเหล็กร้อนกลิ้งมาบดร่างให้แหลกละเอียดย่อยยับไป เพราะวิบากกรรมที่เคยเล่นชู้กับภรรยาของคนอื่น

        อุสสุทนรกขุมที่ ๑๕  มีชื่อว่า โลหสิมพลีนรก เป็นป่าไม้งิ้วสูงใหญ่ ต้นงิ้วบางต้น สัตว์นรกหญิงอยู่ที่ปลาย สัตว์นรกชายอยู่ที่โคน  จะถูกนายนิรยบาลไล่แทงสัตว์นรกชายให้ขึ้นไปหาสัตว์นรกหญิง  เพราะวิบากกรรมที่ลุ่มหลงชู้รักมากยิ่งกว่าคู่ครองของตน

        ต่อมาก็ถึงขุมสุดท้ายที่ ๑๖  ชื่อว่า มิจฉาทิฐินรก สัตว์นรกบางตนตัวเล็กหัวใหญ่ บางตนตัวใหญ่หัวเล็ก นิ้วมือนิ้วเท้าเป็นเหล็กแหลมโง้ง กำลัง
ปีนกำแพงเหล็กร้อนเป็นไฟ ร้องโหยหวนทุรนทุรายดูน่าเวทนา เพราะกรรมที่มีความเห็นผิด บวกกับชักชวนคนอื่นให้เห็นผิดเช่นเดียวกับตน    และได้กล่าวถึงมิจฉาทิฐิ ๑๐ ข้อที่ฉุดคร่าผู้คนให้ตกมาสู่นรกขุมนี้คือ เชื่อว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล  การบวงสรวงไม่มีผล  การทำดีทำชั่วไม่มีผล มารดาไม่มีคุณ   บิดาไม่มีคุณ   สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่มี   สัตว์ผู้เกิดแบบโอปปาติกะไม่มี และเชื่อว่า โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี คือไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องนรก สรรค์ พรหม นิพพานนั่นเอง เมื่อตายแล้วจึงต้องมาสู่นรกขุมนี้

        กล่าวถึงเหล่าเทวดาที่ประชุมกันที่เทวสภา เพื่อรอคอยการเสด็จมาของพระเจ้าเนมิราช   ต่างมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า เพราะเหตุใด มาตลีเทพบุตรจึงได้นำเสด็จมาชักช้านัก  ท้าวสักกเทวราชจึงต้องใช้ทิพยเนตรตรวจดูถึงต้นเหตุ    ก็ทรงทราบเรื่องทั้งหมดว่าเป็นเพราะมาตลีเทพสารถี กำลังนำพระเจ้าเนมิราชเสด็จเที่ยวชมนรกอยู่  และจากทิพญาณทำให้ทรงทราบว่า  หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป  พระเจ้าเนมิราชคงไม่ได้เสด็จมาเที่ยวบนดาวดึงส์เสียเป็นแน่

        ท้าวสักกเทวราชจึงทรงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งที่มีความเร็ว ไปแจ้งข่าวแก่มาตลีเทพสารถี  เทพบุตรองค์นั้นครั้นน้อมรับเทวบัญชาแล้ว  จึงได้กระทำตามรับสั่ง  รีบไปทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราช ให้ขึ้นมาชมสรวงสวรรค์นามดาวดึงส์ทิพยพิมานในทันที  สิ้นสุดเสียงทูลอาราธนาของเทพบุตรองค์นั้น  มาตลีเทพสารถีก็ขับเวชยันตรถบ่ายหน้ามุ่งตรงต่อเทวโลกทันทีเช่นกัน  

        ขณะที่นำเสด็จอยู่นั้น  พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานอันประดิษฐานอยู่ในอากาศของเทพธิดาวรุณี  โดยวิมานนั้นทำด้วยแก้วมณี  มียอด ๕ ยอดใหญ่ สูง ๑๒ โยชน์  ประดับประดาอย่างโอฬาร  อีกทั้งอุทยาน และสระโบกขรณีก็สะพรั่งด้วยดอกบัวหลายหลากสี มีต้นกัลปพฤกษ์ล้อมรอบสระ  ได้ทอดพระเนตรเห็นเทพธิดาเจ้าของวิมานนั่งอยู่บนที่ไสยาสน์ภายในปราสาท  มีหมู่นางเทพอัปสรพันหนึ่งแวดล้อม  เปิดสีหบัญชรมณีแลดูภายนอกอยู่ ด้วยหทัยที่เบิกบาน 
 
        พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรแล้วก็ทรงเบิกบานพระหฤทัยตรัสถามมาตลีว่า “ดูก่อนท่านมาตลี ผู้เรืองฤทธิ์ นางเทพธิดาผู้งดงามนี้ เธอเป็นใคร ได้ทำบุญอันใดไว้ จึงได้มาเสวยทิพยสมบัติอันโอฬารเห็นปานนี้”

        มาตลีเทพสารถีจึงกราบทูลว่า  “ข้าแต่พระเจ้าเนมิราช ผู้เป็นจอมประชา เทพธิดานี้  ในครั้งที่เธอเป็นมนุษย์ ได้เกิดเป็นลูกของนางทาส ทำงานรับใช้อยู่ในบ้านของพราหมณ์  วันหนึ่ง พราหมณ์ได้นิมนต์พระภิกษุ ๘ รูป มาที่เรือนของตน เพื่อรับสลากภัตร  ได้เรียกภรรยาของตนมาแล้ว ด้วยตั้งใจจะมอบให้เป็นธุระของนาง แต่นางเป็นผู้ไม่มีศรัทธาในหมู่ภิกษุสงฆ์ จึงบอกปฏิเสธ  แม้ลูกๆ ของพราหมณีก็ปฏิเสธเช่นเดียวกัน 

        พราหมณ์จึงไปถามลูกของนางทาสนั้น  เพราะนางเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสต่อพระภิกษุสงฆ์ จึงรับเป็นธุระที่จะช่วยจัดน้ำข้าวยาคู ของขบเคี้ยว และภัตตาหารถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ให้ 

        พราหมณ์เมื่อได้สลากแล้ว จึงนิมนต์พระภิกษุสงฆ์นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ส่วนภายนอกบ้านได้ประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด 

        ลูกของนางทาสได้ช่วยจัดแจงถวายภัตตาหารด้วยความเคารพอย่างยิ่ง  นอกจากนี้ยังได้ถวายของของตนที่มีอยู่เล็กๆ น้อยๆ ด้วยความเพลิดเพลินใจเป็นอย่างยิ่ง 

        ถึงแม้ของจะเล็กน้อย  แต่ศรัทธาของนางนั้นเปี่ยมล้น  อานิสงส์แห่งการบริจาคทานอันเล็กน้อย แต่มากล้นไปด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ในครั้งนั้นนั่นเอง  จึงทำให้นางได้มาบันเทิงอยู่ ณ วิมานที่รุ่งเรืองอันปรากฏต่อสายพระเนตรอยู่ในขณะนี้”

        ครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีได้ขับเทวรถต่อไป   พระเจ้าเนมิราชได้ทรงทอดพระเนตรเห็นวิมานทอง ๗ หลัง ที่โชติช่วงสว่างไสวเพราะผลแห่งบุญญานุภาพมาแต้มแต่ง  สว่างรุ่งเรืองดั่งดวงอาทิตย์  และสมบัติอันเป็นสิริของเทพบุตรโสณทินนะ 

        ส่วนตัวเทพบุตรเองมีฤทธิ์มาก ประดับอาภรณ์อย่างอลังการ มีหมู่เทพอัปสรฟ้อนรำขับกล่อมผลัดเปลี่ยนเวียนกันอยู่โดยรอบวิมานทั้ง ๗ หลัง  ยังความอัศจรรย์ใจให้แก่พระเจ้าเนมิราชยิ่งนัก 

        พระเจ้าเนมิราชจึงได้ตรัสถามถึงบุพกรรมของเทพบุตรองค์นี้ว่า  “ท่านมาตลี เทพบุตรองค์นี้ ในอดีตครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์เขาได้ทำบุญอันใดไว้เล่า จึงได้รุ่งเรืองยิ่งกว่าเทพธิดาที่ผ่านมา”

        “ข้าแต่พระจอมประชา เทพบุตรองค์นี้ ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า  เขาได้เกิดเป็นคฤหบดีชื่อว่าโสณทินนะ(โส-ณะ-ทิน-นะ)  เป็นมหาทานบดีในนิคมแห่งหนึ่งในกาสิกรัฐ    ได้ให้มหาชนสร้างวิหาร  ๗ หลัง ถวายแด่ภิกษุผู้จรมาจากทิศทั้ง ๔  และยังได้ปฏิบัติบำรุงภิกษุผู้อยู่ในวิหารทั้ง ๗ หลังนั้นด้วยอาหารบิณฑบาต และคิลานเภสัชด้วยความเคารพ และยังได้ถวายเครื่องนุ่งห่ม  เสนาสนะ ประทีปโคมไฟ  ด้วยจิตที่เลื่อมใสอย่างยิ่ง  

        ส่วนตัวท่านทานบดีนั้นยังได้รักษาอุโบสถศีล ในวันอุโบสถทั้งข้างขึ้นและข้างแรมอีกด้วย  เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อย  ครั้นละจากอัตภาพนั้นแล้ว จึงได้มาอุบัติ และบันเทิงอยู่ในวิมานที่ประจักษ์อยู่นี้”
 

        มาตลียังได้ขับเวชยันตรถต่อไป แล้วก็ได้มาถึงวิมานแก้วผลึกซึ่งมีความสูง ๒๕ โยชน์  เสาของวิมานทำด้วยแก้วมณี ๗ ประการ งดงามพรรณรายหลายร้อยต้น  ยอดเสาทุกต้นล้วนประดับด้วยกระดิ่งที่ห้อยระย้าอย่างสวยงาม  มีธงที่ทำด้วยทองและเงินโบกสะบัดพัดปลิวไสว
 
        อุทยานและสวนป่าประดับด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์   ออกดอกบานสะพรั่ง สระโบกขรณีมีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบสระ ประดับด้วยดอกบัวหลายหลากพันธุ์ น่ารื่นรมย์ยิ่ง  ไม่ว่าเทพบุตรเจ้าของวิมานจะไปชื่นชมทิพยสมบัติ ณ จุดใด นางเทพอัปสรผู้ฉลาดในการฟ้อนรำก็จะตามแวดล้อมขับร้อง ฟ้อนรำ และประโคมดนตรีให้ความบันเทิงในทุกสถานที่ 
 
        พระเจ้าเนมิราชทรงเบิกบานพระหฤทัยที่ได้ทอดพระเนตร จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า “ท่านมาตลี แล้วเทพบุตรองค์นี้ละ เขาได้เสวยทิพยสมบัติอันโอฬารนี้ด้วยผลแห่งบุญอันใด” ส่วนว่าท่านมาตลีเทพสารถีจะกราบทูลอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 

 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/nemiraja12.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 14:19
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv