สุธรรมาเทวสภา
 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  เนมิราช   ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี  ตอนที่ 15


        จากตอนที่แล้ว ท้าวสักกะจอมเทพทรงรอคอยอยู่เนิ่นนาน  พระเจ้าเนมิราชก็ยังไม่ปรากฏ จึงทรงส่งเทพบุตรอีกองค์หนึ่งให้รีบไปตามอีกครั้ง   มาตลีเทพสารถีน้อมรับบัญชาแล้ว ก็คิดว่า เราจะช้าไม่ได้แล้ว    จึงใช้เทวานุภาพบันดาลให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรวิมานต่างๆ  พร้อมกัน 

        หลังจากเยี่ยมชมวิมานทองของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาพอสมควรแล้ว  มาตลีเทพสารถีจึงได้ทูลว่า  บัดนี้พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศ ตอนนี้เป็นเวลาอันสมควรที่จะได้เสด็จไปสู่สำนักของท้าวสักกเทวราช  ผู้เป็นประมุขของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์   ขอเชิญเสด็จในบัดนี้เถิด 
        ว่าแล้วมาตลีเทพสารถีก็ขับเทวรถต่อไป  ให้ท้าวเธอทอดพระเนตรภูเขาสัตตปริภัณฑ์  ซึ่งตั้งล้อมรอบภูเขาสิเนรุ เป็น ๗ ชั้น คือ ภูเขาสุทัสสนะ  ภูเขากรวีกะ   ภูเขาอิสินธระ   ภูเขายุคันธระ   ภูเขาเนมินธระ  ภูเขาวินตกะ  และภูเขาอัสสกัณณะ   ภูเขาทุกลูกมีมหาสมุทรสีทันดรกั้นกลาง

        สถานที่เหล่านี้เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าวธตรฐมหาราช  ประจำทิศตะวันออก  ท้าววิรุฬหกมหาราช ประจำทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์มหาราชประจำทิศตะวันตก  และท้าวเวสวัณมหาราช  ประจำทิศเหนือ  ทรงปกครองพวกนาค  ยักษ์  คนธรรพ์  และครุฑ

        หลังจากแสดงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็ขับทิพยานมาถึงซุ้มประตูที่มีรูปเหมือนของท้าวสักกะตั้งอยู่ด้านหน้า    มาตลีได้กราบทูลว่า  ประตูนี้มีชื่อเรียกว่า จิตกูฏ  เป็นประตูเสด็จเข้าออกของท้าวสักกะเทวราช แล้วก็นำเสด็จเข้าสู่เทวภูมิที่มีภาคพื้นเป็นทองที่ประดับไปด้วยเงินและแก้วมณีอันราบเรียบและนุ่มนวล 

        ขณะที่ผ่านจิตกูฏ  ประตูแห่งเทพนครนั้น  พระเจ้าเนมิราชยังทอดพระเนตรเห็นวิมานของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่สวยงามสว่างไสวเรืองรองอีกมากมาย 

        จากนั้นสายพระเนตรก็มาหยุดลงตรงที่สุธรรมาเทวสภา  เป็นวิมานที่รุ่งเรืองด้วยแก้วไพฑูรย์  มีเสา ๘  เหลี่ยม ที่ทุกๆ เสาทำด้วยแก้วไพฑูรย์ ช่างวิจิตรตระการตาและงดงามยิ่งนัก    จึงได้ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า “ท่านมาตลี เราขอถามท่านอีกสักหน่อยเถิด วิมานหลังนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเป็นวิมานของใครกันหรือ” 

        มาตลีจึงได้กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช วิมานนี้เป็นเทวสภามีนามตามที่ปรากฏว่า สุธรรมา  เป็นที่ประชุมกันของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์นี้  โดยมีท้าวสักกะจอมเทพเป็นประมุข  พระเจ้าข้า

        ส่วนว่า เพราะเหตุใด เทวสภาแห่งนี้จึงเกิดขึ้นมาได้นั้น มีความเป็นมาดังนี้ คือ ในอดีต  ได้มีมาณพหนุ่มคนหนึ่งนามว่า มฆมาณพ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอจลคาม เขาเป็นผู้มีน้ำใจงดงาม  เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย โดยเขามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ๔ คน  มีชื่อว่า สุธรรมา สุนันทา  สุจิตรา  และสุชาดา 

        วันหนึ่งมฆมาณพพร้อมสหายอีก ๓๒ คน  ได้คิดสร้างหนทางสวรรค์ของตน ด้วยการทำศาลาหลังใหญ่ไว้ที่หนทาง ๔ แพร่ง  เพื่อให้เป็นที่พักของคนเดินทาง  แต่เขาเบื่อหน่ายภรรยา ไม่ปรารถนาจะให้พวกเขาไปเกิดในสวรรค์ร่วมด้วยกับพวกตน จึงมิได้บอกให้พวกภรรยาล่วงรู้ เพราะไม่อยากให้มีส่วนบุญในครั้งนี้ ได้ทำกันเองระหว่างสหายด้วยกัน  

        แต่เรื่องนี้ก็รู้ถึงนางสุธรรมาจนได้   ด้วยความอยากมีส่วนร่วมในบุญ  นางจึงได้คบคิดกับช่างไม้ให้จัดการถากไม้ทำช่อฟ้าสลักชื่อว่า “สุธรรมา” แล้วเอาผ้าคลุมไว้  เพื่อจะนำไปติดตั้งไว้ที่ยอดหน้ามุขของศาลาหลังนั้น  

        เมื่อศาลาเสร็จ จะทำพิธียกช่อฟ้า ในวันประกอบพิธี  ช่างไม้ก็รับสมอ้างว่าลืมทำช่อฟ้าของศาลาหลังนี้  จะทำตอนนี้ก็ไม่ทันกาล  ควรจะป่าวประกาศว่าบ้านใครมีช่อฟ้าที่ทำเสร็จแล้วเก็บไว้บ้าง เพื่อจะได้ซื้อนำมาใช้ในงานนี้ 

        มฆมาณพและสหายก็พากันแสวงหาช่อฟ้า  ก็ได้มาพบช่อฟ้าซึ่งคลุมผ้าเอาไว้ที่บ้านของนางสุธรรมา จึงขอซื้อด้วยทรัพย์หนึ่งพัน  นางสุธรรมากล่าวว่า ถ้ามฆมาณพและสหายแบ่งบุญในการสร้างศาลาให้ ก็จะยกให้เลย โดยไม่คิดเงิน  

        แต่มฆมาณพและสหายกลับตอบปฏิเสธ  เพราะไม่อยากให้พวกภรรยามีส่วนในบุญที่ตนเองและพรรคพวกร่วมกันกระทำ 

        นายช่างซึ่งคบคิดกับนางสุธรรมมาไว้ก่อนแล้ว จึงพูดเตือนสติมฆมาณพว่า  เจ้านายครับ ยกเว้นพรหมโลกเสียแล้ว สถานที่อื่นซึ่งจะเว้นจากผู้หญิงนั้นไม่มีเลย  ท่านควรเห็นแก่ศาลาที่กำลังจะเสร็จ  ขอจงรับช่อฟ้าไว้ เพื่อทำศาลาให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์จะดีกว่า 

        มฆมาณพและสหายเห็นเป็นจริงตามที่นายช่างพูด บวกกับถึงเวลาที่จำเป็นจะต้องใช้ จึงยอมรับช่อฟ้านั้นมาประกอบพิธี  แล้วก็ติดตั้งไว้ที่หน้ามุขหลังคาศาลาหลังนั้น

        คนทั้งหลายที่มาพักอาศัยศาลาแห่งนั้น ได้เห็นชื่อของนางสุธรรมมาปรากฏอยู่ที่ช่อฟ้า จึงเรียกศาลานั้นว่า ศาลาสุธรรมา ดังนั้น ศาลาแห่งนั้นจึงมีชื่อว่า สุธรรมา

        นางสุธรรมานั้น ได้ใช้ปัญญาของตน เข้ามีส่วนร่วมในบุญสร้างศาลา เมื่อละจากโลกมนุษย์แล้ว นางก็ได้มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นมเหสีคนหนึ่งของท้าวสักกะ  เพราะผลแห่งกรรมดีที่ทำไว้ในอดีต 

        ข้าแต่พระเจ้าเนมิราช วิมานที่ปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์นี้ มีพื้นที่ประมาณ  ๕๐๐  โยชน์  เกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญของมฆมาณพและสหาย มีชื่อว่า สุธรรมาเทวสภา เพราะบุญที่เกิดจากการสร้างศาลาสุธรรมาในครั้งนั้น

        ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงธรรม สุธรรมาเทวสภาแห่งนี้มีความกว้างใหญ่ เพราะเป็นสถานที่มาประชุมร่วมกันในพิธีรื่นเริงต่างๆ ของเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  และในทุกๆ วันพระก็จะมีการประชุมกันเพื่อฟังธรรม และรับรายงานบัญชีบุญบัญชีบาปของมนุษย์ บัดนี้ ก็ถึงเวลาอันเป็นมงคลแล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เทวสมาคม ณ บัดนี้เถิด พระเจ้าข้า”

        การถวายรายงานของมาตลีที่ยืดยาวนั้น ดูเหมือนจะเป็นการเนิ่นช้าในความรู้สึกของเรา แต่วิสัยของเทวฤทธิ์นั้นใช้เวลาเพียงแค่นิดเดียว ทั้งในขณะที่พูดก็ปรากฏเป็นภาพแสงสีเสียงให้เห็นเป็นเรื่องราวไปตามนั้น จึงเป็นความบันเทิงพระหฤทัยของพระเจ้าเนมิราชเป็นอย่างยิ่ง

        แต่ถึงจะเร็วอย่างไร มันก็ช่างเป็นความรู้สึกชักช้าของเทวดายิ่งนัก เพราะวิสัยของเทวดานั้นมีปกติคิดเร็ว ทำเร็ว สำเร็จเร็ว การนึกคิดของเทวดาเป็นเหมือนการตั้งจิตอธิษฐาน พอนึกเสร็จก็สำเร็จทันที ตามกำลังบุญของเทวดาแต่ละองค์

        ซึ่งในขณะนี้ทิพยานของมาตลีกำลังปรากฏที่ซุ้มประตูทางเข้าเทวสมาคม ของสุธรรมาเทวสภา อันสง่างามสว่างไสวรุ่งเรือง ตระการตา แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์อย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป



 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/nemiraja15.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 14:24
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv