โปริสาท คนกินคน ตอนที่ 3

1.    จากตอนที่แล้ว สุตโสมราชกุมาร เมื่อได้เข้ารับการศึกษาก็ปรากกฎว่า เป็นผู้มีอาวุโสกว่าศิษย์ทั้งปวง และมีความเฉลียวฉลาดกว่า อีกทั้งมีความขยันหมั่นเพียร เรียนจบก่อนศิษย์คนใด
2.    อาจารย์จึงขอร้องให้อยู่ต่อ เพื่อช่วยสอนศิษย์คนอื่นๆ ให้จบไปพร้อมๆ กัน และเมื่อทุกท่านเรียนจบกันหมดแล้ว จึงอำลาอาจารย์แล้วเดินทางกลับบ้านเมืองของตนพร้อมกัน
3.    เมื่อถึงประตูเมืองตักสิลาซึ่งทุกคนจะต้องแยกทางกัน สุตโสมราชกุมารซึ่งอยู่ในฐานะอาจารย์ได้กล่าวเตือนสติทุกคนว่า “ขอให้ทุกคนรักษาอุโบสถศีลทุกกึ่งเดือน อย่าเบียดเบียนใครให้ได้รับความเดือดร้อน และให้มีความเห็นอกเห็นใจ ทำประโยชน์แก่ผู้อยู่ใต้ปกครองให้มาก”
4.    จนวันเวลาได้ผ่านไปหลายปี หลายท่านก็ได้ครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ หลายท่านก็ได้เป็นเจ้าครองนคร แม้สุตโสมราชกุมาร และพรหมทัตราชกุมารก็ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์เช่นกัน
5.    ส่วนพระเจ้าพรหมทัตนั้น เมื่อได้ครองราชย์แล้ว ก็ได้รักษาอุโบสถศีลมิได้ขาด แต่ก็ไม่อาจเว้นจากการเสวยเนื้อได้ วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถศีล พวกสุนัขในวังหลวงได้ขโมยกินเนื้อจนหมด  พ่อครัวจึงรีบวิ่งไปหาซื้อเนื้อในตลาด แต่ก็หาซื้อไม่ได้ จึงได้มานั่งทอดอาลัยอยู่ใต้ร่มไม้
6.    เมื่อหายเหนื่อย ความคิดก็เริ่มแจ่มใสมองเห็นลู่ทาง คิดว่า อย่างไรก็ต้องเสี่ยงเพื่อเอาชีวิตรอด เขาจึงรีบวิ่งไปยังป่าช้าผีดิบนอกเมืองทันที
7.    พอดีมีคนนำศพมาฝังใหม่ พวกญาติเพิ่งกลับไป เขาจึงรีบขุดศพนั้นขึ้นมา ซึ่งก็เป็นศพผู้ชายอายุไม่มากนัก เขาจึงรีบแล่เนื้อตรงโคนขาทั้งสอง แล้วพลิกศพลงหลุมกลบฝังไว้เหมือนเดิม
8.    จากนั้นจึงรีบนำเนื้อที่ได้กลับมา เข้าห้องครัวจัดการปรุงเนื้อนั้นอย่างพิเศษสุดฝีมือ เสร็จแล้วก็นำเข้าไปในวังหลวงทันเวลาเสวยพอดี อาหารกำลังร้อน โชยกลิ่นหอมน่าลิ้มลองที่สุด
9.    พระเจ้าพรหมทัตเสด็จออกเสวยพระกระยาหารตามปกติ พอชิ้นเนื้อแตะปลายลิ้นเท่านั้น รสชาติก็แผ่ซ่านเข้าสู่ต่อมรับรสทั้งเจ็ดพัน ซาบซ่านไปทั่วพระสรีระ
10.    ท้าวเธอทรงหยุดชะงัก ถึงกับเส้นพระโลมาชูชันด้วยความพอพระทัย คิดไม่ถึงว่าจะมีเนื้ออะไรที่รสชาติดีถึงเพียงนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเนื้อเช่นนี้มาก่อนเลย
11.    ถามว่าทำไมหรือ พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงพอพระทัยอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อมนุษย์เสียเหลือเกิน ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะในอดีตชาติ ท้าวเธอทรงเคยเกิดเป็นยักษ์ที่กินเนื้อมนุษย์มาก่อนในอดีตชาติ
12.    เพราะความเคยชิน ที่เรียกว่าอาจิณกรรมได้ติดตามพระองค์มา จึงทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย และติดใจในรสชาติเนื้อมนุษย์ตั้งแต่แรก เหมือนคนที่เคยเกิดเป็นงูมา มักจะง่วง หรือหลับในเวลาฟังธรรม
13.    แม้จะทรงพอพระทัย แต่เพื่อให้พ่อครัวเปิดเผยความจริง จึงทรงแกล้งทำเป็นพิโรธ ทรงถ่มพระกระยาหารคำนั้นทิ้งเสีย แล้วทรงรับสั่งให้นางสนมกำนัลทั้งปวง ที่เฝ้าอยู่ออกไปให้หมด
14.    เหลือเพียงพ่อครัวคนเดียว เขาจึงกราบทูลว่า “เนื้อนี้ไม่มีพิษพระเจ้าข้า” พระองค์จึงตรัสว่า “วิเสท เราก็รู้ว่าเนื้อนี้ไม่มีพิษ ทั้งก็เป็นเนื้อที่มีรสอร่อย เราชอบใจมาก บอกมาตามตรงเถิดว่า เป็นเนื้อของสัตว์ใดกันแน่”
15.    “พระองค์ก็ทรงเสวยเนื้อทุกวันไม่ใช่หรือ ก็เป็นเนื้ออย่างเช่นทุกวันนะ พระเจ้าข้า”
16.    ก็จริงอยู่หรอก แต่เนื้อวันนี้ดีกว่าเนื้อในวันก่อนๆมาก และก็คงไม่ใช่ว่า เพราะในวันก่อนเธอปรุงไม่ดี แต่คงเป็นเพราะวันนี้เป็นเนื้อพิเศษต่างหาก บอกเรามาตามตรงเถิดว่า เป็นเนื้ออะไรกันแน่”
17.    คนทำครัวจึงไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป จึงเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบ พร้อมกับขอให้ทรงพระราชทานอภัยโทษที่ต้องทำเช่นนั้น
18.    แต่แทนที่จะทรงพิโรธที่ถูกหลอกให้ทรงเสวยเนื้อมนุษย์ กลับรับสั่งว่า “เจ้าอย่าได้บอกใครเป็นอันขาด นับแต่นี้ไป เจ้าจงนำเนื้อข้างนอกมาปรุงอาหารตามปกติ แต่เจ้าจงกินอาหารนั้นเสียเอง ส่วนอาหารที่จะนำมาให้เรา เจ้าจงปรุงด้วยเนื้อมนุษย์เหมือนอย่างในวันนี้”
19.    “รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า แต่ว่าที่ทรงรับสั่งให้ทำนั้น ยากสำหรับข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์จะหาเนื้อมนุษย์ที่ไหนมาได้ทุกวันเล่า”
20.    “เจ้าอย่าได้วิตกไปเลย ในคุกมีนักโทษประหารมากมาย เมื่อเขาประหารแล้ว เจ้าจงไปรับศพเพื่อเอาไปฝัง เราจะสั่งการให้เขามอบศพให้แก่เจ้าเอง เมื่อได้ศพแล้ว เจ้าก็คงรู้วิธีต่อไปแล้วซินะ”
21.    นับจากวันนั้นเป็นต้นมา นักโทษประหารในคุกหลวงก็หมดไปวันละคน เมื่อนักโทษประหารในพระนครหมดแล้ว ก็ให้นำนักโทษประหารจากคุกในชนบทมา
22.    ในไม่ช้า นักโทษประหารจากหัวเมืองต่างๆ ก็หมดอีก ท้าวเธอจึงรับสั่งให้ทหารคนสนิทนำถุงเงินของหลวงไปทิ้งไว้ตามถนนหลวง แล้วแอบซ่อนตัวอยู่
23.    เมื่อมีคนมาหยิบถุงเงินนั้นขึ้น ก็ถูกจับมาลงโทษประหารชีวิต ด้วยข้อหาขโมยทรัพย์ของหลวง
24.    ทำอยู่อย่างนี้ไม่นาน ผู้คนก็ไม่กล้าจะหยิบถุงเงิน หรือสิ่งของที่วางอยู่แม้ในที่สาธารณะ เพราะกลัวจะถูกลงโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อครัวจึงเข้ามาทูลรายงานให้ท้าวเธอทรงทราบ
25.    ท้าวเธอจึงทรงบอกอุบายเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงไปตีกลองให้ดังไปทั้งเมือง ผู้คนจะเกิดความโกลาหลโดยคิดว่าถูกปล้น และจะวิ่งกันอลม่านไปหมด”
26.    “ส่วนเจ้าจงแอบอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อมีคนวิ่งเข้ามาใกล้ เจ้าจงฆ่าเขาเสีย แล้วเอาเนื้อมาทำเป็นอาหาร”
27.    เขารับคำแล้วรีบไปปฏิบัติตามนั้น จนกระทั่งในเมืองพาราณสีเกิดความสับสนไปทั่ว ซากศพที่ถูกแล่เนื้อถูกทิ้งอยู่ตามที่ต่างๆ  เกิดเสียงโจษจันกันทุกวันว่า ได้พบศพอยู่ตรงนั้น ตรงโน้น ทำให้ชาวเมืองพาราณสีวุ่นวายไปทั้งเมือง เรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/porisat03.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 22:25
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv