ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  พระเตมีย์   ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี  ตอนที่ 12
 

        จากตอนที่แล้ว พระเจ้ากาสิกราช ครั้นทรงสดับคำกราบทูลของโหราจารย์ว่า พระราชกุมารเป็นกาลกิณี ถ้ายังทรงเลี้ยงไว้ต่อไป ก็จะบังเกิดภัยต่อพระองค์เองรวมถึงพระอัครมเหสี จึงทรงเชื่อสนิท และทรงหวาดหวั่นต่อภยันตรายที่จะเกิดขึ้นยิ่งนัก จึงรีบตรัสถามว่า ถ้าเช่นนั้น เราควรจะทำอย่างไรต่อไปเล่า

โหราจารย์เห็นว่า พระราชาทรงเชื่อถือถ้อยคำของตนแล้ว จึงกราบทูลแนะนำทันทีว่า พระองค์อย่าทรงรีรอเลย โปรดสั่งให้นำพระเตมิยกุมารไปฝังทั้งเป็นที่ป่าช้าผีดิบนอกเมือง โดยให้ขึ้นบรรทมบนรถอัปมงคล เทียมด้วยม้าอัปมงคล ให้สารถีขับรถนั้นออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตก หากทำได้สำเร็จดังนี้ อันตรายทั้งปวงก็จะอันตรธานไป ความสวัสดีจะเกิดแก่พระองค์ รวมทั้งพระเศวตฉัตร และพระมเหสี

    ครั้นพระราชาได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงสะเทือนพระหฤทัยอย่างยิ่ง เพราะถึงอย่างไรพระราชกุมารก็คือพระโอรสของพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงลังเลพระหฤทัยไม่ทราบที่จะรับสั่งประการใด จึงยังทรงนิ่งอยู่ โหราจารย์เห็นว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ หากปล่อยไว้นานอาจทรงนึกสงสารพระโอรส จนไม่อาจจะทรงรับสั่งอะไรให้เด็ดขาดลงได้ จึงรีบกราบบังคมทูลว่า พระองค์จะเห็นควรอย่างไร ทรงโปรดรับสั่งเถิด

พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงตั้งสติลุกขึ้นจากพระแท่นบัลลังก์ เสด็จประทับยืนขึ้น แล้วตรัสกับโหราจารย์ว่า ความสงบสุขของบ้านเมืองย่อมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขอท่านอาจารย์จงทำตามที่เห็นสมควรเถิด” จากนั้นก็เสด็จออกไปจากท้องพระโรง กลับคืนสู่พระตำหนักของพระองค์ทันที

ทันทีที่พระนางจันทาเทวีได้ทรงสดับเรื่องนั้น ก็ทรงตกพระทัยจนแทบสิ้นสติ รีบเสด็จเข้าเฝ้าพระสวามีกราบทูลทัดทานทั้งน้ำตาว่า  ขอทรงโปรดยับยั้งไว้ก่อนเถิด  ขอพระองค์ทรงตรองดูก่อนว่าที่ผ่านมา พระโอรสเคยทำความเดือดร้อนให้แก่ใครบ้าง ทำไมถึงจะต้องรับสั่งให้ฝังเธอทั้งเป็น ขอพระองค์จงรอก่อน

    พระนางเจ้าจันทาเทวี เมื่อทรงสดับพระดำรัสยืนยันเช่นเดิมว่า ไม่ได้ เราตรัสคำใดไปแล้ว จะต้องเป็นคำนั้น มิเช่นนั้น คนทั้งหลายจะเชื่อถือถ้อยคำของเราหรือ จึงกราบทูลด้วยพระสุรเสียงเจือเศร้าว่า “ข้าแต่ทูลกระหม่อม เมื่อครั้งที่หม่อมฉันประสูติพระโอรส พระองค์ได้ทรงพระราชทานพรแก่หม่อมฉัน พระองค์ยังทรงจำได้หรือไม่เพคะ”
“เรายังจำได้ พระเทวี”    
“ครั้นหม่อมฉันรับแล้ว ก็ได้ถวายฝากพรนั้นแก่พระองค์ไว้ ขอพระองค์โปรดพระราชทานพรนั้น แก่หม่อมฉันในบัดนี้เถิดเพคะ”
พระราชาตรัสว่า “พระเทวี เธอปรารถนาสิ่งใด ขอจงเลือกเอาตามใจชอบเถิด”
พระนางกราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์ โปรดพระราชทานราชสมบัติแก่ลูกของหม่อมฉันเถิด”

    พระราชาทรงอัดอั้นพระหฤทัย จึงได้แต่ตรัสเป็นนัยว่า “ดูก่อนพระเทวี กาสิกรัฐเป็นมหานครที่กว้างใหญ่ไพศาล คับคั่งด้วยชาวประชา มีอาคารบ้านเรือนปราสาทราชฐานล้วนงดงามเป็นระเบียบเรียบร้อย อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ควรแก่การสถาปนาเป็นมหาอาณาจักร ดูก่อนพระเทวี ก็ราชสมบัติแห่งมหาอาณาจักรอันสูงค่าเช่นนี้ จักคู่ควรแก่คนง่อยเปลี้ยหรือ”

“หามิได้เพคะ เตมิยกุมาร ลูกของหม่อมฉันมิได้เป็นคนง่อยเปลี้ย”

“จริงอยู่ พระเทวี แม้ลูกเราจักไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย แต่ก็ไม่อาจครองราชย์สมบัติได้หรอก” 
 
พระเทวีจึงทูลถามว่า “เพราะเหตุไร เพคะ”

“พระเทวี เธอจงฟังให้ดีนะ ลูกของเราเป็นกาลกิณี เจ้าก็ทราบมิใช่หรือว่า คนกาลกิณีมิอาจเป็นมิ่งขวัญของทวยราษฎร์ได้หรอก”

    พระราชดำรัสของพระสวามี ทำให้พระนางต้องสะอื้นไห้ด้วยความรันทดท้อในพระหฤทัย จวนเจียนจะล้มลงแทบพระบาทของพระสวามี เพราะไม่เคยคิดว่า จะได้สดับถ้อยคำเช่นนี้จากพระราชสวามีผู้เป็นที่รักยิ่งของพระนางเอง
 
    ครั้นแล้วพระนางก็ทรงอดกลั้นความโศกาอาดูรนั้น ทูลอ้อนวอนพระราชาต่อไปว่า “หากพระองค์ไม่อาจพระราชทานราชสมบัติ ให้เตมิยกุมารได้ครองราชย์ไปจนตลอดชีวิต ก็ขอได้โปรดพระราชทานสักเจ็ดปีเถิด เพคะ”
“เราให้ไม่ได้หรอก พระเทวี”
“ถ้าเช่นนั้น ขอได้โปรดพระราชทานราชสมบัติหกปีเถิดเพคะ”  
“หกปีก็ให้ไม่ได้ ”
“หากทรงเห็นว่า หกปียาวนานเกินไป ก็ขอพระองค์ทรงพระราชทานสักห้าปีเถิด เพคะ”
ท้าวเธอก็ทรงปฏิเสธดังเดิมว่า “อย่าเลย พระเทวี เธออย่าชอบใจเช่นนั้นเลย”
 
    พระนางเจ้าจันทาเทวียังไม่ละความพยายาม ทรงทูลต่อรองกับพระราชาเพื่อทูลขอราชสมบัติให้พระเตมิยกุมารต่อไปเรื่อยๆ โดยลดระยะเวลาลงตามลำดับ คือสี่ปี สามปี สองปี ปีเดียว เจ็ดเดือน หกเดือน ห้าเดือน สี่เดือน สามเดือน สองเดือน เดือนเดียว

แม้พระนางจะทรงทูลขอ ให้พระกุมารได้ครองราชย์เพียงชั่วระยะเวลาครึ่งเดือน แต่ก็ดูเหมือนยังยาวนานเกินไปกว่าที่พระราชาจะพระราชทานให้ได้

    ในที่สุดพระนางจึงทรงอ้อนวอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ฝ่าพระบาทเพคะ ขอพระองค์โปรดทรงสดับคำของหม่อมฉันด้วยเถิด นับแต่หม่อมฉันได้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่หม่อมฉันจะมีความสุขใจเท่ากับการที่ได้ประสูติพระโอรส ...จนถึงบัดนี้ หม่อมฉันก็ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากพระองค์เลย ยังคงพอใจเฉพาะสิ่งที่พระองค์พระราชทานให้เท่านั้น แต่ครั้งนี้ หากพระองค์จะทรงเมตตาหม่อมฉัน ก็ขอให้พระองค์ได้ทรงโปรดพระราชทานราชสมบัติ ให้เตมิยกุมารลูกรักของหม่อมฉันได้ครอบครองเพียงแค่เจ็ดวันเถิด หม่อมฉันขอพระองค์เพียงชั่วระยะเวลาเจ็ดวันเท่านั้นเพคะ เพราะมิเช่นนั้นแล้ว หม่อมฉันก็คงไม่อาจมีชีวิตต่อไป เป็นแน่”
 

พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ของพระนางหมองเศร้า พระเนตรทั้งสองเต็มไปด้วยน้ำตา ร่ำไห้ปานจะขาดใจ ก็ยิ่งทรงสลดพระหฤทัย ครั้นจะทรงปฏิเสธเช่นเดิม ก็ทรงเกรงว่าพระหฤทัยของพระนางจะแตกสลาย ในที่สุดท้าวเธอถึงได้ทรงพระราชทานให้ตามที่เธอทูลขอ

ครั้นได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระสวามีแล้ว พระนางก็โปรดให้จัดพิธีราชาภิเษกพระเตมิยราชกุมารให้เป็นกษัตริย์ โดยให้ประดับตกแต่งพระราชกุมารด้วยเครื่องทรงเยี่ยงกษัตริย์

ทูลเชิญให้ขึ้นประทับบนพระประทุนหลังช้างพระที่นั่ง ให้ยกพระเศวตฉัตรขึ้นเหนือพระเศียร แล้วให้ป่าวประกาศไปทั่วพระนครว่า “บัดนี้ราชสมบัติแห่งกาสิรัฐเป็นของพระเตมิยราชกุมารแล้ว” จากนั้นก็เสด็จเลียบบนถนนโดยรอบพระนครตามโบราณขัตติยราชประเพณี

มหาชนชาวกาสิกรัฐต่างช่วยกันประดับประดาบ้านเรือนของตน เมื่อขบวนช้างพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษกผ่านมา ต่างก็พากันกล่าวสดุดีให้ทรงพระเจริญตามราชประเพณี แต่จิตใจของทุกคนนั้นเล่าล้วนเศร้าสลด เพราะต่างก็รู้ดีว่าชีวิตของพระราชกุมารจะดำรงอยู่ในพระราชวังอีกเพียง 6 วันเท่านั้น

 ช่วงเวลา 6 วันสุดท้ายของพระราชกุมารในพระราชมณเฑียร แม้ภายนอกจะดูสวยงามมีความสะดวกสบายดั่งแดนสวรรค์ แต่ภายในใจของพระเตมิยกุมารนั้น จะมีความสุขดังที่ปรากฏหรือ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/jataka/temiraja12.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 16:23
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv