จดหมายจากอดีตธรรมทายาท

เรื่อง ปลื้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว…


กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูง


กระผมชื่อ นฤพนธ์ เตชะวัฒนวรรณา ศิษย์เก่าธรรมทายาท รุ่นบูชาธรรม 61 ปี พระราชภาวนาวิสุทธิ์  ขอรายงานตัวครับ หลวงพ่อ ครับการมาวัดพระธรรมกายของผม อาจจะไม่เหมือนคนอื่น เพราะหลายๆคน มาเพราะศรัทธา หรืออาจจะมาเพื่อแสวงหา แต่สำหรับผมแล้ว ผมมา...เพื่อพาภรรยาออกจากวัด





    ผมมีครอบครัวแล้ว มีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก มีความมั่นคงในชีวิตในระดับที่น่าพอใจ วัยของผมที่ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาพอสมควร ด้วยตัวเลขนำหน้าอายุใกล้เลข 4 ทำให้ผมมีความรอบคอบในการดำเนินชีวิต และพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้ครอบครัวมีความสุข ขณะเดียวกันก็พร้อมสำหรับการปกป้องคนที่ผมรักจากสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร

        เรื่องราวของครอบครัวผมน่าจะดำเนินไปอย่างปกติ ถ้าไม่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับลูกของผม จนเป็นเหตุให้ภรรยาของผมเปลี่ยนไป และต่อมาความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับตัวผมเองอย่างไม่น่าเชื่อ , น้องเจสซี่ ลูกสาววัย 5 ขวบของผมเรียนในโรงเรียนอนุบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง วันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ.2548 เธอได้รับแจกของขวัญจากงานวันเกิดของเพื่อนรุ่นพี่ร่วมโรงเรียน หลังจากกลับมาถึงบ้าน ลูกสาวผมได้ทำสิ่งที่ คนเป็นแม่ต้องตกใจ แปลกใจ ภรรยาถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เมื่อลูกสาวก้มลงกราบเท้าก่อนที่จะเข้านอน พอสอบถามได้ความจากพี่เลี้ยงว่า ลูกสาวมากราบเท้า หลังจากเปิดดูซีดีที่ได้รับเป็นของขวัญ ซึ่งเป็นเรื่องของพระคุณพ่อแม่ และในซีดีชุดนั้นสอนให้เด็กๆ กราบเท้าพ่อแม่ก่อนนอน (Spot กราบเท้าพ่อแม่)
ในที่สุดภรรยาก็ตามหาที่มาของซีดีชุดนั้นจนพบ หลังจากได้รับข้อมูลต่างๆมากมาย เธอได้สนใจจนไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ แล้วความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งก็เกิดกับครอบครัวของผม เมื่อเธอกลับมาจากการปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ เธอเปลี่ยนไปจนผมแปลกใจตรงที่เธอกลับมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ และจัดให้พนักงานบริษัทที่มีอยู่หลายร้อยคนนั่งสมาธิ เธอสนใจพาลูกและครอบครัวใส่ชุดขาวไปวัดพระธรรมกายในวันอาทิตย์ เธอติด DMC ที่บ้าน สิ่งที่เกิดขึ้นกับภรรยาสุดที่รักของผม ทำให้ผมคิดว่าเธอต้องถูกล้างสมอง แน่ๆ

จากคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับวัดใดๆเลย ด้วยความที่ไม่ค่อยไว้วางใจ ผมจึงพยายามหาเหตุต่างๆนานา เพื่อไม่ให้เธอไปวัด  แต่เมื่อคำห้ามปรามของผมไม่เป็นผล ผมเลยตัดสินใจติดตามเธอไปที่วัดพระธรรมกายด้วย แล้วตั้งใจค้นคว้าสืบข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอกวัด ผมใช้เวลาเกือบ 6 เดือนที่ผมรู้จักวัด เพื่อที่จะไปพิสูจน์และบอกภรรยาผมว่า อย่ามาวัดนี้อีกเลย

ผมเริ่มต้นการพิสูจน์ด้วยการเริ่มจับผิดทุกอย่าง และทำตัวเป็นนักสำรวจ เมื่อพบสิ่งที่ผมสงสัย ผมจะจดไว้และแสวงหาคำตอบ ผมเริ่มศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับวัด ผมศึกษาตั้งแต่ประวัติการสร้างวัด ว่าหลวงปู่วัดปากน้ำเป็นใคร คุณยายเป็นใคร แล้วหลวงพ่อเป็นใคร มาบวชได้อย่างไร แม้ขณะที่ผมดู DMC ผมก็ฟังด้วยการจับผิดคำพูดของหลวงพ่อ ผมจดคำสอนของหลวงพ่อ เพื่อที่จะยืนยันสมมติฐานเพื่อการจับผิด ผมเปรียบเทียบคำสอนของหลวงพ่อกับพระไตรปิฎก

คำพูดหลายๆประโยคของหลวงพ่อทำให้ผมต้องหยุดคิด เช่น ว่าอย่างไร ว่าตามกัน  หรือ สร้างบารมีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทำให้นักสำรวจอย่างผม คิดเสมอว่าเอาอีกแล้ว…หลวงพ่อกำลังพูดโน้มน้าวใจอีกแล้ว  

และผมก็ไม่หยุดการค้นหาคำตอบ แต่เพียงแค่นั่งจับผิดหน้าจอ DMC ผมลงทุนเข้ามาหาข้อมูลด้านลึก ด้วยการไปปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ ตามคำชวนของภรรยา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับตาลปัตร ระหว่างที่ผมปฏิบัติธรรมอยู่นั้น พระอาจารย์ที่สอนการนั่งสมาธิได้ชวนให้ผมบวช ผมเรียนท่านไปว่า ผมเคยบวชแล้ว และผมก็ไม่มีเวลาว่างมากพอ เพราะหน้าที่การงานความรับผิดชอบรัดตัว ผมปฏิเสธไปแล้ว ทุกอย่างน่าจะจบเพียงเท่านั้น




    แต่หลังจากวันที่สนทนากับพระอาจารย์ ผมฝันถึงคุณแม่ที่จากไป ท่านส่งยิ้มให้ผมในความฝัน เมื่อผมตื่นขึ้นจากความฝันในเวลาตี 2 ผมคิดถึงท่านและความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้น ผมคิดว่าผมน่าจะบวชอีกสักครั้ง เพื่อเอาบุญจากการบวชครั้งนี้ อุทิศให้กับคุณแม่ พอคิดได้เท่านั้น เหตุผลที่จะสนับสนุนก็พรั่งพรูออกมาว่า ถ้าผมจัดสรรการงานลงตัว นอกจากผมจะได้ทดสอบระบบในที่ทำงานและครอบครัวว่าสามารถอยู่ได้เมื่อผมไม่อยู่แล้ว ผมจะได้มีโอกาสพักจริงๆ แบบที่เรียกว่าพักทั้งกายและใจ ยิ่งไปกว่านั้นผมคงจะได้คำตอบที่สงสัยมานานเสียทีว่า พระที่วัดพระธรรมกายมีเป้าหมายอะไร อยู่กันอย่างไร





ในการอบรมธรรมทายาท รุ่น บูชาธรรม 61 ปี พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ผมทำตัวเป็นฟองน้ำ ที่พร้อมจะรับรู้และเรียนรู้ทุกอย่าง โดยมีพระอาจารย์ พระพี่เลี้ยง และพระธรรมทายาทที่บวชในรุ่นเดียวกันเป็นคนคอยแนะนำ ผมพบว่าแต่ละรูปมาบวชด้วยความตั้งใจ ซึ่งผิดคาดครับ เพราะในตอนแรกผมนึกว่าบวชเป็นพระวัดนี้แล้วจะสบาย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

เมื่อถึงวันบวช ผมได้เห็นแววตาของความปลื้มปิติของคนที่มาร่วมงานในวันนั้น ดวงตาทุกคู่กำลังจับจ้องมองมาที่นาคธรรมทายาท เมื่อผมได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ น้ำตาเย็นได้ไหลออกมา ผมพบว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เข้าใจสัจธรรมของชีวิต ผมรู้สึกได้ถึงความปลื้มของผู้คนที่มาร่วมงานในวันนั้น สำหรับตัวผมเองต้องนิยามความรู้สึกในช่วงเวลานั้นว่า “ปลื้มกว่านี้...ไม่มีอีกแล้ว”

        การบวชได้ทำให้ผมรู้ว่าความสุขจากการหยุดนิ่งในชีวิตของสมณะเป็นความสุขที่ยิ่งกว่า และจะมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อใจของเราหยุด ใจของเรานิ่ง และเมื่อใจของเราละเอียดขึ้นแล้ว ทำให้เรามองสิ่งที่เป็นปัญหาได้อย่างรอบคอบและถูกต้องตามความเป็นจริง นิยามของความคำว่า “ปลื้ม… กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”    ก็คือ ความสุขที่ผมได้เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่ผมรัก ทั้งลูกและภรรยาสุดที่รัก รวมไปถึงชีวิตของพนักงานและลูกหลานของพนักงานในบริษัทที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากการศึกษาธรรมะ ด้วยการจัดให้มีการปฏิบัติธรรมที่บริษัททุกเดือน นี่แหละ ครับ นิยามของคำว่าปลื้ม…กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ที่นักคิด นักพิสูจน์ทุกคนที่เป็นชายแท้ๆสามารถมาพิสูจน์ได้ อย่าเพิ่งเชื่อผม ถ้าคุณยังไม่ได้มาพิสูจน์
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/latest_update/ปลื้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว….html
เมื่อ 1 กรกฎาคม 2567 06:12
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv