ผมว่าคนไทยหลายคน เวลาฟังฝรั่งพูดภาษาอังกฤษปร๋อ คงนึกในใจว่า
รู้อย่างนี้น่าจะเกิดมาเป็นฝรั่งหัวแดงให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ต้องมาดัดลิ้นกันให้เมื่อย
จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ตาม แต่ผมเองเชื่อว่า ผมคง “เกิดมาเพื่อการ(เผยแผ่)นี้”
มังครับ
ผมเกิดปุ๊บก็ได้เชื้อดีๆมาตั้งแต่เกิด
เพราะเหตุที่เกิดในเมืองผู้ดี ประเทศอังกฤษไงครับ ดินแดนที่เลื่องลือว่างดงามคลาสสิคเกินคำบรรยาย ปราสาทราชวังที่ยิ่งใหญ่อลังการ ผู้คนใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า
วางกิริยามารยาทสมกับเป็นเมืองผู้ดีมีอารยธรรม ยืดอกเรียกตัวเองว่าเป็นชาวศิวิไลซ์
แต่ใครจะรู้ครับว่า ในประเทศอังกฤษนี้ยังมีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป และนั่นก็คือสิ่งที่ผมเฝ้าแสวงหามาครึ่งชีวิต
ใครๆที่ยังไม่เคยไปเยือนยุโรป
มักคิดว่าชาวตะวันตกนับถือคริสต์ศาสนา แต่ที่จริงแล้วต้องบอกว่า ศาสนาที่ยึดถือกันทุกวันนี้ก็คือวิทยาศาสตร์ต่างหาก
พูดง่ายๆก็คือ เราจะเชื่ออะไรก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า
ทำไมคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์มา จึงพากันเชื่อว่า “สมองคือจิต จิตก็คือสมอง” เพราะพิสูจน์ได้ว่าการมองเห็นได้ยินล้วนเป็นเรื่องของสมอง ดังนั้นสมองนั้นก็คือ
จิตใจซึ่งสามารถสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวหรือทำอะไรก็ได้ แม้แต่นึกคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆ
เช่นเดียวกับที่คนส่วนใหญ่เชื่อใน “หนึ่งสมอง สองมือ” แต่ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรมนั่นแหละครับ
ผมเริ่มสนใจการนั่งสมาธิขณะที่กำลังศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อยู่ในมหาวิทยาลัย Wales Swansea (เวลล์ สะวอนซี) แต่นั่นก็เป็นแค่การทำสมาธิในแนวตะวันตก ที่เน้นความผ่อนคลายโดยจินตนาการถึงธรรมชาติที่ทำให้ใจสบาย ไม่น่าเชื่อครับว่า
เพียงแค่เท่านั้น ยังทำให้ผมได้พบกับประสบการณ์ภายใน ใจขยายออกมาจากตัว ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนผมเข้าใจเลยว่า
“จิตไม่ใช่สมอง และจิตก็ไม่ใช่ร่างกายอย่างแน่นอน” สำหรับผม การปฏิวัติความคิดอย่างนี้ถือว่าเป็นก้าวแรกของการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางใจ ขณะนั้นความคิดแต่เดิมที่จะเป็นนักโปรแกรมเมอร์ชิดซ้ายหายไปเลยครับ
ความสนใจเรื่องจิตกระตุ้นให้ผมค้นคว้าหาหนังสือด้านศาสนาจิตวิทยาและปรัชญามาศึกษาอยู่เป็นปี
จนถึงขนาดเปลี่ยนแนวไปเรียนปรัชญา แม้จะยังไม่มีสอนปรัชญาตะวันออก ผมก็ต้องพยายามหาหนังสือแนวปรัชญาตะวันออกมาอ่านเอง
ทั้งปรัชญาโยคาจาร เต๋า ชี่กง โยคะ เซน หรือวัชรยาน ฯลฯ สารพัด แต่น่าเสียดายว่าหนังสือด้านเถรวาทยังไม่แพร่หลายในยุโรป
ผมมาคิดว่า ถึงจะอ่านตำรามากแค่ไหน มากจนความเชื่อมั่นในหลักวิทยาศาสตร์ได้หมดสิ้นไปจากใจแล้ว
แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดว่าอะไรคือความเป็นจริงของชีวิต นั่นหมายความว่า
ผมยังต้องแสวงหาต่อไปจนกว่าจะค้นพบด้วยตัวเอง
จริงอย่างที่คนโบราณว่า
“ไม่ประสบทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม” เพราะหลังจากเรียนจบแล้ว
ผมก็เริ่มมองเห็นทุกข์โทษของการครองเรือน ตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตฆราวาส มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่แน่นอน ไม่มีแก่นสารอะไรเลย ผมตัดอาลัยหันหลังให้กับชีวิตเดิมๆ แล้วออกเดินทางไปรอบโลก
หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอ “ครูและหมู่คณะในดวงใจ” เพราะผมเชื่อว่าการเรียนปรัชญายังต้องมีครู
ในเมื่อเราต้องการค้นหาความจริงของชีวิต การแสวงหาครูและหมู่คณะที่ดีย่อมสำคัญที่สุด
ในที่สุดล๊อคบุญก็มาถึง เมื่อผมได้รับอีเมลจากเพื่อนซึ่งส่งตรงมาจากเมืองไทย
ผมก็รีบตัดสินใจบินไปเมืองไทยตามคำชวนทันที ผมตระเวนไปทั่วไทย ขึ้นเหนือล่องใต้
ได้พบได้เห็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจซึ่งไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน โดยเฉพาะการได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา
ผมถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เหมือนพระบรมโพธิสัตว์เมื่อได้เห็นเทวทูตเท่านั้น
ท่านก็ตัดใจออกบวช ผมก็เช่นกัน เกิดแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าที่จะฝึกสมาธิ
ผมยิ่งฝึกสมาธิตามสายต่างๆในเมืองไทย
ความรู้สึกที่อยากบำเพ็ญเนกขัมมะก็ค่อยๆเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว
และแล้วชีวิตของผมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
เมื่อผมได้ยินได้ฟังเรื่องราวของวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมยากจะจินตนาการได้ว่าวัดนี้จะใหญ่โตสมคำเล่าลือแค่ไหน
ผมสะดุดใจอย่างแรง แปลกใจว่าตนเองศึกษาศาสนาและปรัชญามานาน แต่ก็ยังไม่เคยได้รู้จักวัดแห่งนี้เลย
ผมรอช้าไม่ได้ครับ พอได้ยินข่าวอันเป็นมงคลนั้นไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ผมก็รีบนั่งรถไฟจากเชียงใหม่ตรงดิ่งมายังวัดใหญ่ทันที
โอว...หลวงพ่อครับ ภาพคนเป็นหมื่นๆนั่งหลับตาพร้อมกันในวันอาทิตย์ต้นเดือน ทำให้ผมถึงกับตะลึงไปเลยครับ
ไม่นึกว่าในโลกนี้ยังมีหมู่คณะใหญ่ที่ดูงดงามน่าเลื่อมใสอย่างนี้ แล้วก็ตรงกับใจอย่างที่ผมแสวงหามานานแล้ว บรรยากาศที่เงียบสงบทำให้ผมได้สัมผัสประสบการณ์ภายใน
ดวงใสๆผุดจากกลางกายเป็นสาย สุขอย่างไม่บอกถูก ผมบอกกับตัวเองว่า “นี่ไงสุดยอดของวิทยาศาสตร์ทางใจ
สิ่งสากลที่ทุกคนต่างกำลังแสวงหา และผู้ที่อยู่ต่อหน้าผมนี่แหละคือ สุดยอดครูผู้ไขคำตอบของชีวิตได้อย่างแน่นอน”
เมื่อผมได้ไปปฏิบัติธรรม 7 วันในโครงการ The Middle Way ผมยิ่งเกิดความประทับใจในพระอาจารย์ทุกรูป ซึ่งเรียบร้อยสง่างามน่าเคารพ
ดังนั้นพอทราบข่าวบวชธรรมทายาทนานาชาติ ผมจึงตัดสินใจบวชโดยไม่ลังเล แม้การปรับตัวตลอดช่วงการอบรม
จะเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักโดยเฉพาะชาวต่างชาติอย่างผม แต่ผมก็เชื่อว่าการพิสูจน์ความจริง ต้องเริ่มจากความศรัทธาเปิดใจรับ
ให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์เสียก่อน ผมรับประกันว่า หากใครได้ลองทำอย่างที่ผมว่า ก็จะค้นพบด้วยตนเองว่า
“ไม่มีศาสตร์ใดจะยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ทางใจ ไม่มีชีวิตใดจะเยี่ยมไปกว่าชีวิตสมณะและไม่มีโครงการใดที่จะสุดยอดเท่าโครงการอบรมธรรมทายาทอีกแล้วครับ”
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง