พระฝรั่งทึ่ง "วิทยาศาสตร์ทางใจ"
เทรนด์ใหม่ที่ไม่ลับ อีกต่อไป
 
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง    
 
กระผม พระริเวอร์ ภทฺทโก อายุ 33 ปี พรรษา 3 บวชในโครงการอบรมพระธรรมทายาทนานาชาติ ปีพ.ศ. 2549 หลวงพ่อครับ ผมแปลกใจว่า ทำไม๊ทำไมใครต่อใคร พอเห็นผมทีไร ก็อดไม่ได้ ต้องหันมามองผมกันแทบทุกคน ในที่สุดผมถึงได้รู้ว่า ที่เขามองผมก็เพราะว่าผมเป็นพระฝรั่ง
 
บางคนเรียกพระฝรั่ง บางคนก็เรียกพระต่างประเทศ หรือพระต่างชาติ แล้วแต่ว่าใครจะเรียก แต่พอผมได้ยินคำว่า “ต่าง” แล้ว ก็รู้สึกสะท้านหัวใจ ได้แต่รำพึงดังๆว่า “ใครหนอทำให้คนเราแตกต่างกันได้ขนาดนี้?”  คุณครูไม่ใหญ่ครับ คงไม่ใช่ความผิดของผมใช่ไหมครับ ที่บังเอิญผมเกิดมาเป็นฝรั่ง(ตาน้ำข้าว)
 
 

 
ผมว่าคนไทยหลายคน เวลาฟังฝรั่งพูดภาษาอังกฤษปร๋อ คงนึกในใจว่า รู้อย่างนี้น่าจะเกิดมาเป็นฝรั่งหัวแดงให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ต้องมาดัดลิ้นกันให้เมื่อย จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ตาม แต่ผมเองเชื่อว่า ผมคง “เกิดมาเพื่อการ(เผยแผ่)นี้” มังครับ         ผมเกิดปุ๊บก็ได้เชื้อดีๆมาตั้งแต่เกิด เพราะเหตุที่เกิดในเมืองผู้ดี ประเทศอังกฤษไงครับ ดินแดนที่เลื่องลือว่างดงามคลาสสิคเกินคำบรรยาย  ปราสาทราชวังที่ยิ่งใหญ่อลังการ ผู้คนใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า วางกิริยามารยาทสมกับเป็นเมืองผู้ดีมีอารยธรรม ยืดอกเรียกตัวเองว่าเป็นชาวศิวิไลซ์ แต่ใครจะรู้ครับว่า ในประเทศอังกฤษนี้ยังมีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป   และนั่นก็คือสิ่งที่ผมเฝ้าแสวงหามาครึ่งชีวิต
 
ใครๆที่ยังไม่เคยไปเยือนยุโรป มักคิดว่าชาวตะวันตกนับถือคริสต์ศาสนา แต่ที่จริงแล้วต้องบอกว่า ศาสนาที่ยึดถือกันทุกวันนี้ก็คือวิทยาศาสตร์ต่างหาก พูดง่ายๆก็คือ เราจะเชื่ออะไรก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์มา จึงพากันเชื่อว่า “สมองคือจิต จิตก็คือสมอง” เพราะพิสูจน์ได้ว่าการมองเห็นได้ยินล้วนเป็นเรื่องของสมอง ดังนั้นสมองนั้นก็คือ จิตใจซึ่งสามารถสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวหรือทำอะไรก็ได้ แม้แต่นึกคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆ เช่นเดียวกับที่คนส่วนใหญ่เชื่อใน “หนึ่งสมอง สองมือ” แต่ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรมนั่นแหละครับ
 
ผมเริ่มสนใจการนั่งสมาธิขณะที่กำลังศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อยู่ในมหาวิทยาลัย Wales Swansea (เวลล์ สะวอนซี)  แต่นั่นก็เป็นแค่การทำสมาธิในแนวตะวันตก ที่เน้นความผ่อนคลายโดยจินตนาการถึงธรรมชาติที่ทำให้ใจสบาย ไม่น่าเชื่อครับว่า เพียงแค่เท่านั้น ยังทำให้ผมได้พบกับประสบการณ์ภายใน ใจขยายออกมาจากตัว ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนผมเข้าใจเลยว่า “จิตไม่ใช่สมอง และจิตก็ไม่ใช่ร่างกายอย่างแน่นอน” สำหรับผม การปฏิวัติความคิดอย่างนี้ถือว่าเป็นก้าวแรกของการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางใจ ขณะนั้นความคิดแต่เดิมที่จะเป็นนักโปรแกรมเมอร์ชิดซ้ายหายไปเลยครับ
 
ความสนใจเรื่องจิตกระตุ้นให้ผมค้นคว้าหาหนังสือด้านศาสนาจิตวิทยาและปรัชญามาศึกษาอยู่เป็นปี จนถึงขนาดเปลี่ยนแนวไปเรียนปรัชญา แม้จะยังไม่มีสอนปรัชญาตะวันออก ผมก็ต้องพยายามหาหนังสือแนวปรัชญาตะวันออกมาอ่านเอง ทั้งปรัชญาโยคาจาร เต๋า ชี่กง โยคะ เซน หรือวัชรยาน ฯลฯ สารพัด แต่น่าเสียดายว่าหนังสือด้านเถรวาทยังไม่แพร่หลายในยุโรป ผมมาคิดว่า ถึงจะอ่านตำรามากแค่ไหน มากจนความเชื่อมั่นในหลักวิทยาศาสตร์ได้หมดสิ้นไปจากใจแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดว่าอะไรคือความเป็นจริงของชีวิต นั่นหมายความว่า ผมยังต้องแสวงหาต่อไปจนกว่าจะค้นพบด้วยตัวเอง
 
จริงอย่างที่คนโบราณว่า “ไม่ประสบทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม” เพราะหลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เริ่มมองเห็นทุกข์โทษของการครองเรือน ตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตฆราวาส มีการเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน ไม่มีแก่นสารอะไรเลย ผมตัดอาลัยหันหลังให้กับชีวิตเดิมๆ แล้วออกเดินทางไปรอบโลก หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอ “ครูและหมู่คณะในดวงใจ” เพราะผมเชื่อว่าการเรียนปรัชญายังต้องมีครู ในเมื่อเราต้องการค้นหาความจริงของชีวิต การแสวงหาครูและหมู่คณะที่ดีย่อมสำคัญที่สุด
 
ในที่สุดล๊อคบุญก็มาถึง เมื่อผมได้รับอีเมลจากเพื่อนซึ่งส่งตรงมาจากเมืองไทย ผมก็รีบตัดสินใจบินไปเมืองไทยตามคำชวนทันที ผมตระเวนไปทั่วไทย ขึ้นเหนือล่องใต้ ได้พบได้เห็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจซึ่งไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน โดยเฉพาะการได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ผมถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เหมือนพระบรมโพธิสัตว์เมื่อได้เห็นเทวทูตเท่านั้น ท่านก็ตัดใจออกบวช ผมก็เช่นกัน เกิดแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าที่จะฝึกสมาธิ ผมยิ่งฝึกสมาธิตามสายต่างๆในเมืองไทย ความรู้สึกที่อยากบำเพ็ญเนกขัมมะก็ค่อยๆเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว
 
และแล้วชีวิตของผมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เมื่อผมได้ยินได้ฟังเรื่องราวของวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมยากจะจินตนาการได้ว่าวัดนี้จะใหญ่โตสมคำเล่าลือแค่ไหน ผมสะดุดใจอย่างแรง แปลกใจว่าตนเองศึกษาศาสนาและปรัชญามานาน แต่ก็ยังไม่เคยได้รู้จักวัดแห่งนี้เลย ผมรอช้าไม่ได้ครับ พอได้ยินข่าวอันเป็นมงคลนั้นไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ผมก็รีบนั่งรถไฟจากเชียงใหม่ตรงดิ่งมายังวัดใหญ่ทันที โอว...หลวงพ่อครับ ภาพคนเป็นหมื่นๆนั่งหลับตาพร้อมกันในวันอาทิตย์ต้นเดือน ทำให้ผมถึงกับตะลึงไปเลยครับ ไม่นึกว่าในโลกนี้ยังมีหมู่คณะใหญ่ที่ดูงดงามน่าเลื่อมใสอย่างนี้  แล้วก็ตรงกับใจอย่างที่ผมแสวงหามานานแล้ว บรรยากาศที่เงียบสงบทำให้ผมได้สัมผัสประสบการณ์ภายใน ดวงใสๆผุดจากกลางกายเป็นสาย สุขอย่างไม่บอกถูก ผมบอกกับตัวเองว่า “นี่ไงสุดยอดของวิทยาศาสตร์ทางใจ สิ่งสากลที่ทุกคนต่างกำลังแสวงหา และผู้ที่อยู่ต่อหน้าผมนี่แหละคือ สุดยอดครูผู้ไขคำตอบของชีวิตได้อย่างแน่นอน”
 
เมื่อผมได้ไปปฏิบัติธรรม 7 วันในโครงการ The Middle Way ผมยิ่งเกิดความประทับใจในพระอาจารย์ทุกรูป ซึ่งเรียบร้อยสง่างามน่าเคารพ ดังนั้นพอทราบข่าวบวชธรรมทายาทนานาชาติ ผมจึงตัดสินใจบวชโดยไม่ลังเล แม้การปรับตัวตลอดช่วงการอบรม จะเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักโดยเฉพาะชาวต่างชาติอย่างผม แต่ผมก็เชื่อว่าการพิสูจน์ความจริง ต้องเริ่มจากความศรัทธาเปิดใจรับ ให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์เสียก่อน ผมรับประกันว่า หากใครได้ลองทำอย่างที่ผมว่า ก็จะค้นพบด้วยตนเองว่า “ไม่มีศาสตร์ใดจะยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ทางใจ ไม่มีชีวิตใดจะเยี่ยมไปกว่าชีวิตสมณะและไม่มีโครงการใดที่จะสุดยอดเท่าโครงการอบรมธรรมทายาทอีกแล้วครับ”
 
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
 พระริเวอร์  ภทฺทโก           
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/latest_update/พระฝรั่งทึ่ง "วิทยาศาสตร์ทางใจ".html
เมื่อ 1 กรกฎาคม 2567 00:14
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv