จดหมายจากตัวแทนธรรมทายาทชาวญี่ปุ่น รุ่นแรกของโลก
 
กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ที่เคารพอย่างสูงครับ
 
    ผม...โนริมิจิ ซูซูกิ อายุ 21ปีครับ ผมเกิดและเติบโตเหมือนเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นทั่วๆไป คือ กิน เที่ยว เรียนหนังสือ ทำอย่างนี้ซ้ำๆกันหลายปี จนรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า ล่องลอย ไร้จุดหมาย เมื่อผมเรียนจบจากโรงเรียนสอนทางด้านศิลปะการวาดภาพ ผมก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะออกเดินทางแสวงหาความจริงของชีวิต ผมเลือกเดินทางไปตามเส้นทางสายไหม ตามรอยบุคคลในประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองว่า พวกเขาได้เคยพบเจออะไรบ้าง มีประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด และพวกเขารู้สึกอย่างไร ในการเดินทางผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์สายสำคัญนี้
 
    ในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2552_ผมมีเพียงกระเป๋าสัมภาระและเอกสารสำคัญ เดินทางจากบ้านมุ่งหน้าไปเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน และเริ่มต้นก้าวตามความฝันที่วาดไว้ แต่ผ่านไปได้ครึ่งทางผมก็โดนขโมยเงิน โชคดีที่ผมยังพอมีตั๋วแลกเงินติดตัวอยู่บ้าง พอเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน แต่ผมก็ยังไม่เลิกล้มความพยายาม ผมกลับไปยังประเทศจีนเพื่อเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่ ครั้งนี้ผมคิดว่าตัวเองน่าจะรู้ภาษาจีนเอาไว้บ้าง จึงเรียนภาษาจีนอยู่ระยะหนึ่งจนเริ่มพูดได้ ผมก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้ผมซื้อจักรยานเป็นพาหนะ และใช้ขี่ผ่านเมืองต่างๆตามเส้นทางสายไหม หลายพันกิโลเมตร ในใจนั้นผมอยากพบอยากเจอต้นแบบการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์แบบ อยากพบฮีโร่ของผมที่จะเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตให้กับผม ถ้าผมพบผมจะทำอย่างที่เขาทำ เพื่อจะเป็นอย่างที่เขาเป็น ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าฮีโร่ของผมคนนี้จะเป็นใคร
 
    ในระหว่างการเดินทาง ผมได้รับน้ำใจจากคนมากมาย มีหลายคนชวนผมทานข้าวด้วย มีหลายคนเอื้อเฟื้อให้ผมได้มีที่พักหลบลมฝน ผมเดินทางมาจนถึงประเทศลาว ที่นี่ผมได้พบกับคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง เราพูดคุยกันแล้วเขาก็บอกผมว่า เขาจะบวชเป็นพระภิกษุในโครงการบวชพระธรรมทายาทสำหรับชาวญี่ปุ่น ที่จะจัดขึ้นที่วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย ผมฟังแล้วสะดุดใจอยากจะร่วมบวชด้วย เพราะผมเองก็สนใจในเรื่องพระพุทธศาสนามาก่อน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาอย่างจริงจัง
 
    ผมสอบถามรายละเอียดเรื่องการบวชจากเขา พอทราบว่าการบวชเป็นพระภิกษุต้องโกนผม โกนเครา ผมก็เริ่มลังเล เพราะผมกำลังอยู่ในช่วงไว้เคราครับ ไว้เครามาตั้ง 5เดือน...เสียดายครับ แต่คิดไปคิดมาว่าเคราของเรามันก็งอกขึ้นมาเรื่อยๆ ผมจะไว้เคราใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่โอกาสที่จะได้บวชแบบนี้อาจจะหาไม่ได้อีกเลยในชีวิต ผมเลยตกลงใจ เอาก็เอา ผมจะบวชครับ ผมขายจักรยานคู่ใจเลยครับ ขายแล้วก็เดินทางจากลาว นั่งรถเข้ามาทางหนองคายมุ่งตรงสู่กรุงเทพฯ แล้วก็โทรศัพท์มาหาพระอาจารย์ที่ท่านดูแลโครงการบวชอยู่ เมื่อท่านพบผม ซักถามสัมภาษณ์พอรู้ประวัติและความตั้งใจที่อยากมาบวชแล้ว ท่านก็ให้ผมเขียนใบสมัครไว้
 
    วันแรกที่มาถึง ผมยังไม่ได้ถือศีลแปด เพราะยังไม่ได้ทานอะไรมา จึงขออนุญาตพระอาจารย์ไปทานข้าวข้างนอกวัด ตอนออกมาไม่มีปัญหา แต่ตอนจะกลับเข้าไปยังสถานที่อบรมอีกครั้งซิครับเป็นเรื่อง คือ ไม่ว่าจะทำอย่างไรพี่ยามหน้าวัดก็ไม่ยอมให้ผมเข้าไปในวัดครับ ก็สภาพของผมตอนนั้นฝรั่งเห็นยังบอกว่า ยูดูแย่กว่าฮิปปี้ของไอเสียอีก ลองนึกดูซิครับ เด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าที่ดูแล้วเหมือนไม่ได้ซักมาหลายอาทิตย์ ผมเผ้าหนวดเครายาวรุงรัง และคงจะมีกลิ่นกายที่เหมือนไม่เคยถูกน้ำมานานหลายสัปดาห์ ถ้าเดินเข้ามาในวัดคงเด่นสะดุดตา พี่ยามก็ทำหน้าที่ดีเยี่ยม ซักฟอกผมเป็นการใหญ่ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องตอบไม่ได้ครับ สุดท้ายผมต้องส่งเบอร์โทรศัพท์ของพระอาจารย์ไปให้พี่ยามคุยกับท่านเอง กว่าจะเข้าใจกันได้ กว่าผมจะได้กลับมาสถานที่อบรมก็นานพอควรครับ
 
    หลังจากวันนั้น พระอาจารย์จับผมอาบน้ำ โกนหนวดโกนเครา ตัดผม ให้ดูดีเป็นผู้เป็นคนขึ้น ผมส่องกระจกดูตัวเองเวลาเข้าห้องน้ำยังเขินๆเลยครับ ตอนนี้ผมตั้งใจซักซ้อมขั้นตอนในการบวช และท่องคำขอบวชได้แล้วนะครับ การมาบวชในครั้งนี้ ผมคิดว่าผมคงได้สัมผัส ได้เรียนรู้ พระพุทธศาสนาที่ผมไม่เคยได้รู้มาก่อนเลยในชีวิต และได้มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ที่อาจจะไม่มีอีกเลย ที่คนญี่ปุ่นจะมารวมตัวกัน และบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาอย่างนี้ ผมยังแอบหวังในใจลึกๆว่า การบวชคราวนี้ผมคงได้พบฮีโร่ที่ผมรอคอยมานาน ได้พบคนที่จะเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของผมครับ
 
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
 
โนริมิจิ ซูซูกิ
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/latest_update/เขาทำได้_ผู้ชายทุกคนทำได้_คุณก็ทำได้.html
เมื่อ 1 กรกฎาคม 2567 03:12
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv