ด้วยความปลื้มปีติใจที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้จบ ที่ได้รู้ว่าตนเองจักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน ท่านอชิตภิกษุจึงได้น้อมนำผ้าสาฎกคู่นั้นไปประดับตกแต่งอยู่ภายในพระคันธกุฎีของพระพุทธองค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อกระทำการสักการะ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการแบ่งเอาผ้าผืนหนึ่งไปขึงอยู่บนเพดานที่อยู่ภายในพระคันธกุฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนผ้าอีกผืนหนึ่งก็นำไปตัดแบ่งออกเป็นสี่ส่วน แล้วนำผ้าแต่ละส่วนไปผูกเป็นผ้าม่านห้อยลงมาจากมุมทั้งสี่ของเพดานอย่างสวยงาม
หลังจากที่ท่านอชิตภิกษุได้สร้างมหาทานในครั้งนี้แล้ว ท่านก็ได้อธิษฐานจิตเพื่อตอกย้ำผังแห่งความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะบังเกิดขึ้นกับท่านในอนาคต ให้หนาแน่นเพิ่มยิ่งๆขึ้นไปอีกว่า “ขอให้ผลบุญจากการน้อมนำผ้าสาฎกคู่นี้มาถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงเป็นไปเพื่อการบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าด้วยเทอญ”
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ท่านอชิตภิกษุผู้ที่มีพุทธบารมีอันเต็มเปี่ยม ก็ได้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรและศึกษาธรรมะจนแตกฉาน แต่ด้วยความที่ท่านจักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ อรหัตผลและการสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลจึงยังไม่บังเกิดขึ้นกับท่าน เพราะภาระและหน้าที่อันยิ่งใหญ่กว่านี้ ซึ่งก็คือการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังรอคอยท่านอยู่ในภพชาติเบื้องหน้า
ครั้นท่านอชิตภิกษุละอัตภาพจากภพชาตินั้นไปแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งในขณะนี้ ท่านเทพบุตรบรมโพธิสัตว์ก็กำลังรอคอยเวลาที่จะลงมาตรัสรู้ธรรมเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าสืบไป