วันนี้ พระธรรมทายาทนานาชาติ รุ่นพิเศษ ครั้งที่ 1_ได้ไปลาหลวงพ่อเพื่อเตรียมตัวที่จะไปปฏิบัติธรรม พระธรรมทายาทนานาชาติรุ่นนี้ มีแปดรูปด้วยกัน มาจากสามทวีป ได้แก่ ยุโรป ลาตินอเมริกา และ เอเชีย (จากประเทศนอร์เวย์ สองรูป ประเทศบราซิล หนึ่งรูป ประเทศเกาหลี หนึ่งรูป ประเทศมาเลเซีย สองรูป และ ประเทศไทย สองรูป)_ทุกรูปได้เตรียมตัวเดินทางที่จะไปปฏิบัติธรรมที่สวนสุขสว่าง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ขอบอกให้พวกเรารับทราบว่า ในการบวชพระธรรมทายาทนานาชาติ เราได้ทำต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว แต่เท่าที่ผ่านมา ส่วนมากจะเป็นลักษณะเป็นประเทศประเทศไป อาทิ กลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษ ส่วนมากจะมาจากอเมริกาบ้าง จากอังกฤษบ้าง ก็ยกประเทศกันมา บางครั้งก็มาจากญี่ปุ่น บางทีก็มาจากจีน ก็ยกประเทศมาอบรมกัน สำหรับภาษาจีนนั้น บางครั้งก็มาจากหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย เพราะว่าในประเทศเหล่านี้ มีพี่น้องชาวจีนอาศัยอยู่มาก เมื่อถึงเวลาอบรมก็ถือว่ามาจากแหล่งเดียวกัน บรรพบุรุษเดียวกัน ก็อบรมพร้อมกันเป็นภาษาจีน ในการอบรมแต่ละรุ่น จะมีจำนวน 50
-ท่านบ้าง 70
-ท่านบ้าง เราได้จัดการบวชอย่างนี้ติดต่อกันมาหลายปี ปีละสองครั้งบ้าง สามครั้งบ้าง
เนื่องจากในปีนี้ มีผู้สมัครเข้ามาถี่ขึ้นมากขึ้น และเพื่อความสะดวกในการอบรม สะดวกทั้งผู้เข้ารับการอบรม สะดวกทั้งพระอาจารย์ที่เข้ามาควบคุมดูแลทำการสอน จึงจัดเป็นรุ่น ถ้าจะว่าไปแล้ว คือ จัดให้มีการบวชทุกเดือน (ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เป็นรุ่นพิเศษที่จะจัดบวชในแต่ละเดือนโดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้ เป็นต้นไป)
ในการอบรมครั้งนี้ พระธรรมทายาทแปดรูป จากสามทวีป ห้าประเทศ จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก สาเหตุที่หลวงพ่อปลื้มใจก็คือ...
ประการแรก พระธรรมทายาทรุ่นนี้มากันจากสามทวีป ห้าประเทศ ตรงนี้ถ้าเราฟังแล้วปล่อยผ่านก็คงยังไม่เห็นอะไร แต่ว่านี้คืออานุภาพของบุญ ที่กล่าวเช่นนี้ เนื่องจากพระธรรมทายาททั้งแปดรูปนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว...นี่ไม่ใช่ภพชาติแรกที่ท่านมาบวชพระ ท่านคงบวชมาหลายภพหลายชาติแล้ว ส่วนจะเคยบวชกันมาแล้วกี่ชาติ หลวงพ่อคงบอกไม่ได้ แต่ทว่า...แต่ละชาติที่ผ่านมา บุญที่สะสมเอาไว้จากการบวช จากการประพฤติปฏิบัติธรรม มากเข้าๆ ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหนในประเทศใด แม้อยู่ถึงต่างทวีปต่างประเทศ แม้พูดภาษาไทยไม่ได้ แม้นับถือศาสนาอื่น เพราะเกิดในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา จึงนับถือศาสนาตามท้องถิ่น ตามบิดามารดาของตน เนื่องจากยังไม่พบพระพุทธศาสนา แต่เมื่อถึงเวลา บุญในตัวบ่มเต็มที่ บุญในตัวก็จะเตือนให้มุ่งหน้าสู่ประเทศไทย เพื่อมาบวช และเฉพาะเจาะจงด้วยว่า...ต้องวัดพระธรรมกาย พระอุปัชฌาย์ต้องวัดราชโอรสาราม...
พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ของพวกเรา ซึ่งท่านเมตตาพวกเรามาก
พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์
(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ,ราชบัณฑิต)
การบวชพระธรรมทายาทนานาชาติแต่ละรุ่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ ท่านรับภาระให้หมด เพราะนอกจากท่านจะเชี่ยวชาญภาษาไทย ภาษาบาลี ซึ่งเก็บรวบรวมธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้แล้ว (ท่านเป็นพระภิกษุรูปเดียวในประเทศไทยที่เป็นราชบัณฑิต)_ท่านยังได้ไปสร้างวัดในต่างประเทศอีกด้วย หลายๆครั้งเวลาที่หลวงพ่อเดินทางไปทางประเทศ ก็ได้ไปเจอพระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ในต่างประเทศเช่นกัน
จากการที่ พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ ได้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหลายๆประเทศ บางครั้งท่านก็เดินทางไปถึงตะวันออกกลาง เพราะว่ากิตติศัพท์-เกียรติคุณของท่านแผ่ไปกว้างไกล ประเทศอิหร่าน ประเทศอียิปต์ ได้อาราธนาให้พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ไปเยี่ยมประเทศของเขา เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ในอดีต...ประเทศเหล่านั้นเคยนับถือพระพุทธศาสนากันทั้งประเทศมาก่อน ที่เขาเชื้อเชิญท่านไปก็เพราะว่าเวลาที่เขาสร้างพิพิธภัณฑ์บ้าง เวลาที่เขาประชุมเกี่ยวกับศาสนานานาชาติบ้าง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของในย่านนั้นบ้าง ก็จะมีพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ในฐานะที่เป็นราชบัณฑิตจึงได้รับอาราธนาไปแสดงธรรม แม้ในประเทศที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เหล่านี้ด้วย
ประการที่สอง เนื่องจาการบวชในครั้งนี้เป็นการบวชช่วงสั้น และพื้นฐานทางขนบธรรมเนียมประเพณีในประเทศไทยกับประเทศของแต่ละท่าน ก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก จริงอยู่...เป้าหมายในการบวช ก็เพื่อการสร้างบุญสร้างบารมี แต่ว่าในการที่จะเก็บเกี่ยวบุญ เก็บเกี่ยวความรู้-ความดีอันเกิดจากบวชในครั้งนี้ ซึ่งเป็นช่วงสั้น อีกทั้งยังต่างภาษาอีกด้วย ทำอย่างไร...จะเก็บเกี่ยวบุญให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โจทย์นี้จึงไม่ง่าย แต่ก็สอบผ่านกันแล้ว
ด้วยเหตุสองประการดังกล่าวมานี้ หลวงพ่อจึงปลื้มใจ จึงต้องนำมาเล่าให้พวกเราฟัง เพื่อว่าพวกเราจะได้อนุโมทนาบุญร่วมกัน ยิ่งกว่านั้น...ก็อยากจะให้เป็นแนวทางกับพวกเราที่อยู่ต่างประเทศ ในเวลาที่ถูกซักถามเกี่ยวกับเรื่องของการบวช เกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ว่า...หากมีผู้ที่บวช หรือปฏิบัติธรรมในช่วงสั้นๆ เราควรจะนำประเด็นใดมาอธิบาย เพื่อให้เขารับได้ง่ายและมีกำลังใจที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติกันต่อไป ดังนี้...
ในพระพุทธศาสนา ประเด็นใหญ่ในการเรียนการสอน คือ การพยายามที่จะสอนให้ทุกคนรู้จักตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพราะนั่นคือความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตของตนเอง เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน เราจะรู้จักคนทั้งโลกอย่างดีอย่างไรก็ตาม แต่ว่าหากยังไม่รู้จักตัวเองให้ชัดๆ...เป็นอันตราย ตรงนี้...ก็ขอฝากเอาไว้กับพวกเราทุกคน ขอย้ำว่า...ประเด็นสำคัญในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งแรกที่ต้องรีบรู้ คือ ต้องรีบรู้จักตนเองให้ดีที่สุดและละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงนี้มีความสำคัญมาก ถ้าไปเช่นนั้นแล้วอันตรายจะเกิดขึ้น
การรู้จักตัวเองให้เร็วที่สุดและเอียดที่สุด
ประการแรก คนเรานั้น ประกอบด้วย กายและใจ พวกเราได้ฟังตรงนี้แล้วอาจมีความคิดว่า “ก็รู้กันแล้วทั้งโลกว่าคนเราประกอบด้วยกายและใจ”_ต้องบอกว่าอย่าเข้าใจผิดอย่าทึกทักอย่างนั้น รู้กันไม่หมดทั้งโลกหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้แต่แพทย์ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับชีวิตของคนก็ดี แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่สอนศาสนาบางศาสนาก็ดี ทั้งๆที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ในบางกลุ่มบางหมู่ (และหลายๆหมู่)_ยังเชื่อว่า คนมีแค่กายเท่านั้นไม่มีใจ ตรงนี้ต้องรับรู้กันไว้ด้วย เผื่อว่าเวลาอธิบายแก่ผู้ที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน หรือมาจากประเทศที่พระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปน้อยเต็มที เขาไม่รู้ว่า...คนเราประกอบไปด้วยกายและใจ ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจให้เขาตั้งแต่ต้น
สาเหตุที่แพทย์หลายๆท่าน ไม่เชื่อว่ามีใจ เนื่องจากเขาเข้าใจว่า สมองทำหน้าที่ทั้งคิดทั้งจำ ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อสมองเป็นส่วนหนึ่งของกาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีใจ ตรงนี้ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเขา เพียงแต่ว่า...ต้องการบอกว่าพวกเราโชคดีแล้วที่รู้ว่าคนเราประกอบด้วยการและใจ นี้เป็นบุญของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ตั้งแต่เรายังนอนเปลอยู่ เราก็ได้ยินคำว่า
ใจ มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นี้เป็นพื้นฐานทางธรรมะที่พวกเราโชคดีที่ได้มา เพราะเราเกิดในเมืองพุทธ
กายของคนเรา ประกอบด้วยธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่บางท่านที่ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มามาก ก็กล่าวว่า “พระพุทธศาสนามีความรู้แค่แบ่งธาตุได้เพียงสี่อย่างเท่านั้นหรือ”
_ตรงนี้ขออธิบายว่า ที่พระพุทธศาสนาแบ่งเป็นธาตุสี่นั้น ไม่ใช่แบ่ง ต่ออีกไม่ได้ แต่ว่าไม่มีความจำเป็น แบ่งเพียงธาตุสี่ เพื่อนำมาใช้เพียงอธิบายธรรมะ ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องไปแยกละเอียด นี่ไม่ใช่วิชาโลหะวิทยา ไม่ใช่วิชาเภสัชวิทยา เพราะฉะนั้นแยกเพียงแค่สี่ธาตุก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง พวกเราอาจจะไม่ทราบว่าในพระพุทธศาสนาแบ่งธาตุออกไปเป็นพันๆธาตุทีเดียว แต่เป็นธาตุที่อยู่ในใจ
ธาตุสี่ในตัวของมนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์ เมื่อประกอบขึ้นมาเป็นเซลเล็กๆในร่างกายจึงทำให้ร่างกายเป็นรังของโลก เมื่อร่างกายเป็นรังของโลก เซลเล็กๆที่ประกอบด้วยธาตุสี่ซึ่งไม่บริสุทธิ์ จึงตายไปประมาณสามร้อยล้านเซลต่อนาที และไม่ใช่เซลเริ่มตายเมื่อคลอดมาแล้ว แต่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเซลก็เริ่มตายอย่างนี้แล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ หากปล่อยให้เซลตายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะตายทั้งตัว เพราะฉะนั้น จึงถูกบังคับให้หาธาตุสี่จากภายนอก นำเข้ามาเติม นำเข้ามาซ่อมแซม จึงจะอยู่ได้
เราหายใจ เพื่อจะเอาธาตุลมเข้ามาเติม
เราดื่มน้ำ เพื่อจะเอาธาตุน้ำเข้ามาเติม
เรากินข้าว เพื่อจะเอาธาตุดินเข้ามาเติม
เราสวมใส่เสื้อผ้า เพื่อจะเอาธาตุไฟเข้ามาเติม
แต่เนื่องจาก ธาตุสี่ที่นำมาเติมจากข้างนอกดังที่กล่าวมาแล้วนี้ก็ไม่บริสุทธิ์ เซลของเราก็ยังคงตายต่อไปอีก จึงต้องคอยเติมธาตุสี่กันไปเรื่อยๆ เราต้องมองภาพตรงนี้ให้ชัดๆ
ใจของคนเรา ก็เป็นธาตุ แต่เป็นธาตุที่ละเอียด และมีอำนาจติดตัว คือ มีความสามารถในการรู้ เป็นธาตุรู้อยู่ในตัวคน ทำให้ธาตุสี่ที่อยู่ในกายมีชีวิตชีวา แต่ใจซึ่งเป็นธาตุรู้อยู่ในตัวนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ จึงมีการเกิดการดับอยู่ตลอดเวลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า ใจของคนเรามีการเกิดการดับ...ล้านล้านครั้งต่อลัดนิ้วมือเดียว (ลัดนิ้วมือเดียว คือ ช่วงเวลาที่งอนิ้วแล้วยืดออกไป)
_ตรงนี้ก็ขอให้พวกเราจดจำไว้ เพื่อเป็นมรณานุสติ
ใจไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากมีกิเลสฝังอยู่ในใจ ตั้งแต่วันที่เราเกิดมา กิเลสก็เข้ามาอยู่ในใจของเราทันทีที่เราคลอดออกมาจากครรภ์มารดา บ่อนทำลายใจของเราเรื่อยมานับแต่วินาทีนั้น
กิเลส ก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นธาตุที่สกปรกและเป็นเป็นพิษ เมื่อไปอยู่ในใจของเราตั้งแต่เกิด ใจของเราจึงไม่บริสุทธิ์ กิเลสไม่มีชีวิต อุปมาได้กับสนิมเหล็ก แม้ไม่มีชีวิตแต่กัดเหล็กได้ ฉันใด กิเลสแม้ไม่มีชีวิต แต่ก็สามารถบ่อนทำลายใจให้เดือดร้อน ให้สกปรกได้ ฉันนั้น ไม่เพียงเท่านั้น กิเลสยังทำลายใจได้เหมือนกรดเหมือนกันด่างกัดเนื้อของเรา บางครั้งก็บีบคั้นเราได้ด้วย
ประการที่สอง รู้เรื่อง...กฎแห่งกรรม ในเรื่องกฎแห่งกรรมนี้ ก็ขอฝากให้พวกเรารับทราบด้วยว่า บัดนี้แม้ในศาสนาอื่นก็รับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ก็เป็นผลของการที่พระในพระพุทธศาสนา และชาวพุทธ ที่ได้ช่วยกันพูดช่วยกันอธิบาย ตกทอดเป็นร้อยเป็นพันปี คำว่า
กฎแห่งกรรม คำว่า
กรรม ก็เข้าไปอยู่ในศาสนาอื่นกันมากแล้ว ดังนั้น ใครที่มีส่วนในการทำให้ชาวโลกรู้จักคำว่า
กรรม มากน้อยเท่าไหร่ก็ให้ได้บุญไปตามส่วนเท่านั้น หลวงพ่อขออนุโมทนา
แต่สิ่งที่บางครั้งเราไม่ได้เฉลียวใจคิด คือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ทุกอย่างเรามาเรียนรู้กันในภายหลังทั้งสิ้น และสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ บางสิ่งที่รู้นั้น ปรากฏว่ารู้ผิดๆด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาการด้านใด จึงมีการเปลี่ยนทฤษฎีกันอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องนี้หลวงพ่อมีตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง...
เรื่องแรก หลวงพ่อยังจำได้ว่า เมื่อตอนที่หลวงพ่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ได้มีความรู้จากยุโรปและอเมริกาว่า...การกินไข่ที่จะให้คุณค่าทางอาหารได้เต็มที่ ต้องกินไข่กึ่งสุกกึ่งดิบ ด้วยเหตุนี้ การกินไข่ลวกจึงได้เกิดขึ้นในประเทศไทย และไข่ทอดไข่เจียวที่สุกๆ จึงถูกตำหนิว่าบรรพบุรุษของคนไทยไม่มีความรู้ ไปทำให้ไข่สุก ครั้นพอหลวงพ่อเรียนในระดับอุดมศึกษา กลับมีการประกาศใหม่ว่า ไข่ลวกเป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง
เรื่องที่สอง เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านโภชนาการกล่าวว่า คนไทยทำลายคุณค่าทางอาหารที่มีอยู่ในไข่ ด้วยการนำหอมซอยใส่ลงไปด้วย ทำให้ไข่เสียคุณภาพไปหมด แต่ครั้นเวลาผ่านมาก็มีการประกาศจากนักวิชาการกลุ่มเดิมว่า หอมซอยที่ใส่ลงไปในไข่นั้น เป็นตัวต่อต้านคอเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดไม่อุดตัน
เรื่องที่สาม ในช่วงที่หลวงพ่อเรียนในระดับอุดมศึกษา เคยมีการกล่าวว่า อาหารของคนไทยนั้นแย่ เพราะนิยมใส่วัตถุดิบที่มีเส้นใยสูง เช่น ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด รวมทั้ง ก้านพริก และก้านกะเพรา ซึ่งย่อยยาก อีกทั้งคุณค่าทางอาหารก็ไม่มี แต่ต่อมา มีการค้นพบว่า อาหารของคนไทยดังกล่าว มีส่วนช่วยในการทำความสะอาดลำไส้ มีส่วนช่วยในการขจัดไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ได้ดี
ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า บรรพบุรุษของเรามีความรู้ในเรื่องโภชนาการไม่ได้น้อยหน้าใคร ตรงนี้อย่าปล่อยผ่าน เพราะในสมัยนั้น ไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาใช้ตรวจสอบคุณภาพของอาหาร แล้วปู่ย่าตาทวดของเราใช้อะไร จึงมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้ดี ทั้งๆที่เราเพิ่งจะได้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาแยกย่อยอาหารต่างๆ เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้มาจากทางยุโรปและอเมริกา ที่ได้เคยแนะนำให้เอาอาหารที่ปู่ยาตาทวดของเราแนะนำไปโยนทิ้ง แต่มาวันนี้กลับมาบอกว่ามีประโยชน์
ขอฝากไว้ว่า บรรพบุรุษของเราสามารถที่จะรู้คุณสมบัติของอาหารได้ลึกซึ้งขนาดนี้ อาจเป็นเพราะท่านมีความสังเกตในระดับดีเยี่ยม หรืออาจจะได้อาศัยพระภิกษุในพระพุทธศาสนาทั้งหลายที่ท่านฝึกสมาธิมาดี จนกระทั่งเกิดญาณทัศนะ มีหูทิพย์ตาทิพย์ไปมองเห็นอะไรที่เป็นกลไกอยู่ข้างในได้ชัดเจน แล้วนำมาอบรมสั่งสอนลูกหลาน
ด้วยเหตุที่ คนเราเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ทุกอย่างต้องมาเรียนรู้ในภายหลังทั้งสิ้น แต่ความรู้ที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้น ก็มีทั้งรู้ผิดและรู้ถูก และสิ่งที่รู้ถูกก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกในด้านหนึ่งแต่ผิดในอีกด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขอให้เราร่ำเรียนเขียนอ่านกันด้วยความระมัดระวัง ได้รับข่าวสารอะไรมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรตามที่ไม่ตรงกับที่ความรู้ที่เรามีแต่เดิม ขออย่าปฏิเสธหรือยอมรับในทันที ต้องไปค้นคว้าดูด้วยว่า สิ่งเหล่านี้ขัดต่อความรู้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ให้ยึดพระไตรปิฎกเป็นเกณฑ์ เพราะความรู้ในพระไตรปิฎกเป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นความรู้ของพระอรหันต์ เป็นความรู้ของผู้หมดกิเลสแล้ว เป็นความรู้ที่สรุปแล้ว เป็นความรู้ที่ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นคว้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นคว้ามาให้ พระอรหันต์ได้ค้นคว้ามาให้ จากญาณทัศนะที่บริสุทธิ์
ถ้าเราจะค้นคว้า ให้ค้นคว้าในลักษณะที่ว่าไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร พระอรหันต์กล่าวไว้อย่างไร ในพระไตรปิฎก เราไปปฏิบัติตามก่อน แล้วเราจะพบว่าจริงทุกครั้ง เพราะความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ความรู้ที่พระอรหันต์ให้ไว้ ในพระไตรปิฎกนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้จริง พระอรหันต์รู้จริง และไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะมาหลอกพวกเรา
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ความรู้ต่างๆนั้น เราจะต้องมาหากันในภายหลัง เราจะเห็นว่ากว่าเราจะพบว่า ความรู้อะไรผิดอะไรถูก แต่ละเรื่อง...ก็ยาก แม้มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมก็ยังยาก แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น คือ มันยากจริงๆที่จะรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว โลกนี้มีมิเตอร์สำหรับวัดสิ่งต่างๆมากมายๆ อยากจะรู้อะไรก็มีมิเตอร์มาวัด อยากจะรู้ความยาวก็มีอุปกรณ์มาวัด เป็นฟุต เป็นหลา เป็นศอก เป็นคืบ อยากจะรู้น้ำหนักก็มีเครื่องมาชั่งเป็นปอนด์ เป็นกิโลกรรม เป็นตัน อยากจะรู้ปริมาตรก็มีอุปกรณ์มาวัด เป็นลิตร เป็นถัง เป็นเกวียน แม้แต่ไฟฟ้าก็วัดได้ แม้หัวใจมีความดันท่าไหร่ ความดันในเส้นเลือดมีเท่าไหร่ ก็วัดได้หมด แต่ไม่มีเครื่องมือสำหรับวัดความดีความชั่ว
เมื่อเราไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เราก็ทำทั้งดีทำทั้งชั่ว ผลของการกระทำตรงนี้เป็นอันตราย กฎของกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ได้ดี คือ เป็นสุข เป็นความเจริญ
ได้ชั่ว คือ เป็นทุกข์ เป็นความเสื่อม
ขอยกตัวอย่างในการประกอบอาชีพ
ประกอบอาชีพสุจริต |
ประกอบอาชีพไม่สุจริต |
หมายเหตุ |
1.ได้เงิน |
1.ได้เงิน |
ไม่ว่าสุจริตหรือไม่ก็ได้เงินมาเหมือนกัน |
2.ได้ความสุข |
2.ได้ความทุกข์ |
บางคนทำความชั่วแต่เขารู้สึกว่าเขาเป็นสุข อย่างนี้ก็พอจะมีเหมือนกัน |
3.ได้บุญ |
3.ได้บาป |
|
4.ได้นิสัยดีๆ |
4.ได้นิสัยเลวๆ |
เราจะรู้ด้วยตนเองว่านิสัยของตนเองจะดีขึ้นหรือเลวลง |
5.ได้ความเจริญ |
5.ได้ความเสื่อม |
ความเจริญความเสื่อมบางทีต้องรอเวลา |