ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตรโจเซฟ เบิร์ด (จากประเทศอังกฤษ)
 
    ผมชื่อ โจเซฟ เบิร์ด อายุ 22ปี จากประเทศอังกฤษครับ ตอนนี้ผมเป็นครูสอนนักเรียนระดับชั้นประถม3 อยู่ในกรุงเทพฯ และนั่นก็เป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้ผมต้องการมาเติมพลังให้กับตัวเองที่โครงการ Middle way เพื่อจะได้มีแรงไปสอนเด็กๆต่อครับ
 
    ผมมาอยู่เมืองไทยกว่า 8เดือนแล้ว เพราะอยากสัมผัสวัฒนธรรมไทยและสิ่งใหม่ๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว พ่อกับแม่ของผมอยากจะให้ของขวัญวันคริสต์มาส และเชื้อเชิญผมให้กลับอังกฤษช่วงคริสต์มาส แต่ผมบอกท่านว่า “ผมมาที่นี่เพื่อสัมผัสประเทศไทย และอยากจะไปฝึกสมาธิ” นี่เป็นสิ่งที่ผมสนใจมาตลอด ผมจึงปฏิเสธข้อเสนอ ไม่กลับอังกฤษ พ่อกับแม่ของผมก็อนุญาตนะครับ เพราะพวกท่านรู้ว่า หากผมได้ฝึกสมาธิแล้ว จะได้กลับไปสอนพวกท่านบ้าง และเผยแผ่สมาธิไปสู่คนอังกฤษได้อีกด้วย
 
    พ่อกับแม่เลี้ยง ผมให้เป็นคนที่เปิดกว้างทางความคิดครับ หลักการดำเนินชีวิตที่ผมยึดถือ คือ ลองทุกสิ่งทุกอย่าง และดูว่าชอบมันหรือไม่ ถ้าไม่ชอบก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ถ้าชอบ มันจะเปลี่ยนชีวิตของผม และแล้วในวันหนึ่ง ผมก็ได้รู้จักกับโครงการ Middle way วันนั้นผมใช้อินเทอร์เน็ตหาข้อมูลเรื่องการนั่งสมาธิในประเทศไทย พอเจอเว็บไซต์ของโครงการ Middle way ผมก็สมัครเลย โดยไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น
 
    จะว่าไปแล้ว ผมยังใหม่อยู่มากกับเรื่องสมาธิ และไม่เข้าใจว่า มันคืออะไร สมัยก่อนตอนอยู่อังกฤษ เวลาที่ผมเรียนในมหาวิทยาลัย การสอบมันเครียดมาก พอตกเย็น ผมพยายามจะผ่อนคลาย และผลักทุกอย่างออกจากใจ แต่ผมไม่เคยรู้เทคนิคว่าจะต้องทำอย่างไร ผมรู้แค่ว่า ผมต้องการจะทำสมาธิเท่านั้น ฉะนั้นการมาสู่โครงการ Middle way จึงถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่จะทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีการทำสมาธิอย่างแท้จริง ซึ่งจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 24-30 ธันวาคม พ.ศ.2551 ที่สวนป่าหิมวันต์ จังหวัดเลย ครับ
 
    ผมเริ่มนั่งสมาธิโดยเน้นการทำร่างกายให้สบายก่อน (ผมนั่งบนเก้าอี้ครับ) และค่อยๆปรับท่าทางจนรู้สึกสบาย ผมเริ่มหายใจเข้า-ออก ไล่ฐานทั้งเจ็ดตามลำดับ จากนั้น ก็รู้สึกว่าในท้องมีดวงกลมๆ ใสๆ เป็นประกาย พร้อมกับแสงสว่าง ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมาก 
 
    ประสบการณ์แต่ละครั้งของผมแตกต่างกันครับ แต่ผมจะพยายามไม่ยึดติดกับประสบการณ์ภายใน มีอยู่วันหนึ่ง ผมรู้สึกถึงดวงแก้วที่อยู่ภายในตัว เหมือนดวงแก้วได้ให้พลัง และแผ่ความรักออกมาอย่างมากมาย ร่างกายของผมทุกส่วนผ่อนคลายมาก จนไม่รู้สึกว่ามีตัวตนอีก นี่ช่างอัศจรรย์จริงๆ ผมต้องการยึดความรู้สึกดีๆนี้เอาไว้ แต่ทันทีที่คิดเช่นนั้น ความรู้สึกนั้นก็หายไป ตอนนี้ ผมเรียนรู้แล้วว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น แค่มองดูไปเรื่อยๆก็พอแล้ว 
 
    หลังจากที่ได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมจากสมาธิ ผมก็ไม่พบกับอารมณ์โกรธ ไม่มีความเครียด ผมสามารถเดินไปรอบๆ และอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข
 
 
    โครงการ Middle wayในครั้งนี้ มีชาวต่างชาติเข้าร่วมประมาณ 40คน ทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตที่แตกต่าง แต่ก็มาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ ฝึกสมาธิ ผมได้คุยกับแซม และ คาลวิน เพื่อนของผม พวกเขาฝึกสมาธิมาเป็นอย่างดีแล้ว และดูผ่อนคลายตลอดเวลา
 
ผมถามพวกเขาว่า “มาที่นี่ทำไม ในเมื่อพวกคุณก็รู้วิธีปฏิบัติอย่างดีอยู่แล้ว”
พวกเขาบอกผมว่า เพราะเราไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเลย เราจึงสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งมักจะมีมุมมองด้านสมาธิที่แตกต่างไปจากเรา
 
    ผมจึงได้รู้ว่า สมาธิสามารถเรียนรู้ได้จากทุกคน เป็นการให้ซึ่งกันและกัน ผมคิดว่าสมาธิ เป็นทางเลือกที่จะทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้า หรือพระพุทธเจ้า หรืออะไรทั้งสิ้น
 
[คุณครูไม่ใหญ่ (พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์):...สมาธิไม่ใช่ ทางเลือก แต่เป็น ทางรอด ที่จะทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ทางเดียว เป็นทางรอด มิใช่ทางเลือก...]
 
    ทุกศาสนามีความต้องการให้ทุกคนพบความสงบ เปี่ยมไปด้วยความรักและสันติภาพ ถ้าการฝึกสมาธิสามารถช่วยทุกคนได้ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะได้ลอง ขอเพียงเรากำจัดความคิดที่ว่า ทำไม่ได้ ออกไป และเริ่มสัมผัสกับสมาธิอย่างต่อเนื่อง เราก็จะอยากทำสมาธิมากขึ้นเรื่อยๆ ความสุขก็จะเพิ่มแบบทวีคูณ เหมือนก้อนหิมะ ที่จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เวลากลิ้งลงมาจากภูเขาครับ 
 
    นอกจากนี้ สมาธิ ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของคนเป็นครูอย่างผมด้วย การทำหน้าที่ครูสอนนักเรียนระดับชั้นประถม3 ของผม คือ การวิ่งไปมา ใช้พลังงานอย่างสูง ต้องตะโกนร้องเพลงบ่อยๆ ผมอยากแบ่งเวลาเพื่อทำสมาธิทุกวัน จะได้ผลักเรื่องวุ่นวายออกจากใจ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆก็ตาม ผมว่า ทุกโรงเรียนควรจะเริ่มฝึกสมาธิให้เด็กๆ เพราะเด็กๆไร้เดียงสา มีกิเลสน้อย ใช้เวลาในโลกนี้น้อยกว่าใคร พวกเขาจึงรู้จักผ่อนคลายได้อย่างรวดเร็ว และเห็นภาพนิมิตได้ง่าย
 
    ผมกราบขอบพระคุณ พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ได้สอนสมาธิ และให้ความสว่างในชีวิตของผม หลังจากกลับไปแล้ว ผมจะไปเผยแผ่สมาธิให้เด็กในห้องเรียนของผม เพราะผมเชื่อว่า นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะให้แก่พวกเขา และจะชักชวนเพื่อนครูและนักเรียนของผมให้มาร่วมโครงการทั้งโรงเรียนเลย เรามีกันทั้งหมด 5,000กว่าคน แต่เยอะขนาดนี้ ผมคิดว่าเราคงต้องเอาเต็นท์มากางเองแล้วล่ะครับ
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/world_meditation/England_Joseph.html
เมื่อ 17 กรกฎาคม 2567 21:02
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv