ผลการปฏิบัติธรรม
ของ
กัลยาณมิตร พรทิพย์ เครือประดับ
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
“เจ้าประคู้น...ด้วยผลบุญที่ทำไว้ดีแล้วนี้ เกิดไปภพใดชาติใด ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้รู้จักคำว่า “ทุกข์” เลย สาธุ”
 
    ตัวลูก ไม่ทราบหรอกว่า ชาติในอดีต เคยทำบุญแล้วอธิษฐานทำนองนี้บ้างหรือไม่ ทราบแต่ว่า ชีวิตลูกในปัจจุบัน ตั้งแต่จำความได้ มาจนบัดนี้ แทบไม่รู้จักคำว่า “ทุกข์” เลย มันสุขสบายไปเสียทุกอย่าง Perfect จริงๆค่ะ
 
    ลูก มีชื่อเสียงเรียงนามแสนไพเราะเพราะพริ้งว่า พรทิพย์ เครือประดับ แปลว่า ผู้นำถ้อยคำปรารถนาดีอันเป็นทิพย์ของเทพยดาลงมาเกิด มีชื่อเล่นว่า “น้องอิง” เจ้าค่ะ ลูกเป็นน้องนุชสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 4 คน มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่พัทลุง คุณพ่อคุณแม่ทำมาค้าขึ้นมากๆ เงินทองนอนมาตลอด คือ มาแล้วนอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน ท่านจึงให้เงินลูกใช้อย่างปรีเปรมเกษมทรวงไม่เคยขาด โรคภัยไข้เจ็บเล่า ก็ไม่เคยมาเคาะประตูห้องนอนให้ลูกเห็นหน้าบ้างเลย มาถึงการเรียน นี่ไม่ได้คุยนะคะ ลูกถือคติว่า เรียนๆโดดๆ เกรดออกมา ไปโลดทุกปี เกรดเฉลี่ยลูกไม่เคยต่ำกว่า 3.5 เลย ตั้งแต่เรียนมาจนจบปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร แม้กระทั่งไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้านวิศวเคมี ลูกก็ยังคงรักษาเกรดดี ประดุจเกลือรักษาความเค็ม จนเพื่อนๆแซวว่า ลูกเป็นเด็กซุ่ม แอบซุ่มดูหนังสือที่บ้าน นั่นเป็นความเชื่อ แต่ความจริง ลูกนั้นขี้เกียจเรียนมากๆค่ะ...ขอบอก
 
    ช่วงที่ลูกเรียนปริญญาตรี มักจะมีคำถามผุดขึ้นมาในใจเรื่อยๆว่า “เอ๊ะ...เราเกิดมาทำไม เกิดมาแค่ไปเรียนหนังสือแล้วก็กลับบ้าน...แค่นั้นเหรอ” แต่คำตอบนั้นซ่อนลึกอยู่ในหลุมดำจนหาไม่เจอ  คำถามนี้จึงได้เลือนไปจากใจ กระทั่งลูกเรียนจบในปี พ.ศ.2540 น้าชายผู้เข้าวัดพระธรรมกายนานแล้ว ก็ได้มาชักชวนลูกไปวัด ลูกก็รับปากแบบง่ายๆไม่คิดอะไร เพียงมาเหยียบลานวัดครั้งแรก น้าก็ชวนลูกสร้างลานธรรม 5 พันบาท ลูกก็งงว่า “เรายังไม่มีงานทำ ทำไมน้าชวนทำบุญเยอะขนาดนี้” แต่เห็นว่า เดินตามผู้ใหญ่ สุนัขย่อมไม่กัด เลยถอนเงินเก็บสะสมตั้งแต่เรียนหมื่นกว่าบาทร่วมบุญลานธรรมไปด้วย จากนั้นเวลาน้าชายแวะมาเยี่ยมคุณป้าที่บ้าน ก็จะคอยสอนลูกนั่งสมาธิ ลูกก็นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง ผลออกมาก็นิ่งบ้างไม่นิ่งบ้าง ได้แค่ความรู้สึกเบาสบาย แล้วก็ลืมเลือนอากาศบริสุทธิ์ที่วัดไป ไม่ได้มาอีก
 
    กระทั่ง เรียนจบปริญญาโท เริ่มงานแรกทำเกี่ยวกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เงินเดือนดีมาก ทำอยู่แค่ 4 เดือน ก็ย้ายไปอยู่บริษัทฯน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งเงินดีกว่า และสบายกว่าที่เก่า รักแรกพบจึงเกิดที่บริษัทฯน้ำมันแห่งนี้ และก็ลงเอยด้วยการวิวาห์ในปี พ.ศ.2546 สามีของลูกเป็นวิศวกร เป็นคนดี น่ารักมากๆ เขาจะชอบเลือกสรรซื้อแต่ของดีๆมาให้ลูกใช้ ไม่เคยขัดใจลูกเลย ชีวิตลูกสุขสบายมาตลอด จนเคยคิดว่า “สุขยิ่งกว่านี้ ยังมีอีกไหมหนอ”
 
    และแล้ววันหนึ่ง ลูกได้มาพบกัลยาณมิตรกลุ่ม Network Twenty One ลูกเป็น Down Line และดาวรวยของสองสามีภรรยา คือ คุณประภาภัทร รุจิรธนรัตน์ และ คุณสุภัทร ภัทรวรกุลวงค์ (พี่หนูกับพี่น้อย) เขาได้พาลูกขึ้นพนาวัฒน์ ในปี พ.ศ.2547 เป็นจุดกำเนิดให้ลูกได้รู้จักการนั่งสมาธิอย่างแท้จริง พอไปถึงพนาวัฒน์ ลูกก็รู้สึกเหมือนได้กลับสู่บ้าน กลับสู่มาตุภูมิที่เป็นถิ่นกำเนิดของตัวเอง และยิ่งได้ฟังเพลงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่มีความหมายทำนองว่า ต่างคนต่างลงมา แล้วมัวพากันติดลมเที่ยวเล่นอยู่ จึงทำให้มาเจอหมู่คณะช้า ลูกฟังแล้วรู้สึก...ใช่เลย ตอนนี้ เราเหมือนมาเจอพ่อที่แท้จริง พลันคิดว่า “เอ๊ะ! ทำไมเรามาช้า” ตอนนั้น เขามีงานบุญสามแสนปลื้ม ลูกจึงตัดสินใจถอนเงินที่เล่นหุ้นอยู่ มาทำทั้งหมด  2S ร่วมทำบุญกันแบบไม่มีความตระหนี่ถี่เหนียวไปเลย แล้วลูกก็มาวัดตลอดทุกสัปดาห์ สามีก็ตามมาด้วย  เขาดีมากจริงๆค่ะ ไม่เคยขัดเลยจะทำบุญเท่าไรบอกมา (น่ารักจริงๆนะคะเนี่ย) ต่อมา ลูกก็ได้มีโอกาสทำบุญ 1M ทำบุญไม่นานสามีก็ได้รับงานพิเศษกับเพื่อน จนมีโอกาสสามารถร่วมบุญทุกบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อย่างต่อเนื่อง บุญยังหนุนส่งให้ลูกส่งสามีมาบวชในรุ่น 124 บูชาธรรมพระเดชพระคุณหลวงพ่อปี พ.ศ.2548 เขาก็ “OK Say Yes” แบบง่ายๆค่ะ
 
    ก่อนลาสิกขา 7 วันเขาได้มีโอกาสขึ้นพนาวัฒน์ และตัวลูกก็ได้สมัครขึ้นพนาวัฒน์กับผู้นำบุญช่วงนั้นเช่นเดียวกัน ปรากฏว่า ผลการปฏิบัติธรรมของลูกครั้งนั้น ลูกนั่งนิ่งโดยไม่ปวดไม่เมื่อยเป็นชั่วโมง ผิดกับสมัยก่อนที่นั่งไปฟุ้งไปปวดเมื่อยไป นั่งได้ครบทุกรสชาติของชีวิตจริงๆ พอลงจากพนาวัฒน์ คืนนั้นเข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ลูกก็นั่งหลับตาฟังครูไม่ใหญ่ไปเรื่อยๆ ราวหนึ่งชั่วโมง รู้สึกนิ่งมากอย่างที่ไม่เคยนิ่งมาก่อน รู้สึกอยากนั่งสมาธิต่อมากๆ จึงไปนั่งต่อที่บ้านถึง 2 คืน ในตอนเที่ยงคืนคืนที่ 2 นี้เอง หลังกลับจากที่ทำงาน ก็รีบอาบน้ำนั่งสมาธิ พอเอาขาขวาทับขาซ้ายเอามือขวาทับมือซ้ายเสร็จ ลูกก็ใจตก...ใจตกศูนย์กลางกาย รู้สึกถูกดูดอย่างแรงเหมือนนั่งรถไฟเหาะที่กำลังดิ่งลงไปเรื่อยๆ หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ รู้สึกใจเต้นตุบตับ เหมือนหลุดออกมาจากกาย ไม่มีร่างกาย ตัวหายไป เห็นอะไรต่างๆมากมาย มาเหมือนฟิล์มถ่ายหนังที่ฉายเร็วจนดูไม่ทัน แต่ที่จำได้แม่นยำคือเห็น มหาธรรมกายเจดีย์สีทอง เห็นชัดแต่เร็วมากแวบเดียว จากนั้นก็เริ่มรู้สึกกลัว จึงถอนออกจากสมาธิ คิดว่า เวลาคงผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงกระมัง แต่พอหันไปดูนาฬิกาเป็นเวลาตี 3 เวลาทำไมผ่านไปเร็วมากจนคิดว่า “นาฬิกาเสียหรือเปล่า”  เวลาจริงผ่านไปตั้งสามชั่วโมงแต่เวลาใจของลูกเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง
 
 
    จากนั้น พอสังเกตตัวเองก็เห็นตัวเองสว่างไปหมด เห็นรายละเอียดของเสื้อผ้าชัดเจน ทั้งที่อยู่ในห้องมืดปิดไฟแล้วก็ยังสว่างไม่เสร็จ ตื่นเช้าจึงรีบโทรไปปรึกษาอุบาสิกาที่วัด เขาก็บอกว่า ไม่ต้องตกใจให้นั่งไปเรื่อยๆ วันนั้นทั้งวันลูกก็ยังรู้สึกว่าตัวเองสว่าง รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับความสว่างไสวแห่งกองบุญอันเรืองโรจน์โชติช่วงที่ออกมาจากภายใน และเหมือนถูกดูดตลอดเวลา แต่ลูกไม่นึกสนุกไปด้วยเพราะตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ภายหลังพอเริ่มเข้าใจ คราวนี้ลูกก็เริ่มอยากเห็นก็เลยไม่เห็น เป็นอยู่หลายเดือน ตอนหลังความอยากเริ่มหายไปใจก็เลยดิ่งลงอีกแบบไม่ยากเย็น ถ้าใจเย็นก็ไม่ยาก และไม่กลัวเหมือนแต่ก่อนเพราะ กลัวทำให้ช้า กล้าทำให้เร็ว แต่คราวนี้ดิ่งแบบเบาๆไม่รุนแรงเหมือนครั้งนั้น ดิ่งเบาๆนุ่มนวลกว่าเดิม เมื่อใจติด ก็เลยติดใจ แต่พอรู้สึกชอบก็จะหาย  ลูกเลยทำใจนิ่งๆ ปล่อยให้ดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนเห็นองค์พระสีทองสว่างไสวนวลตาเหมือนที่ธรรมกายเจดีย์เป็น 3 มิติ เห็นรอบตัว พอพยายามจะตามไปดูก็หาย จึงจับหลักได้ว่า “ถ้าอยากก็จะหาย หากหยุดก็จะเห็น การเข้าถึงธรรมจะไม่ยุ่งยาก หากความอยากหมดไป” พอเห็นองค์พระก็นึกถึงหมู่ญาติอยากแบ่งบุญให้ พอนึกอย่างนั้นก็รู้สึกถึงกระแสที่แผ่ขยายออกไปทั่วห้อง ทำให้ลูกเข้าใจถึงความหมายที่ฟังจากใครก็จำไม่ได้ว่า “ให้แผ่เมตตาแบบโยนหินกระทบน้ำจนน้ำขยายเป็นวง” ลูกรับรู้ถึงกระแสที่แผ่ออกไปทั่วห้อง รู้สึกเบาสบายมีความสุขมากๆค่ะ หลังจากนั้นลูกก็จะมีประสบการณ์เห็นตัวเองเหมือนเห็นภาพ 3 มิติ เห็นตัวเองใสมากดูนุ่มนวล ใส่ชุดเดียวกับที่กำลังใส่อยู่ รู้สึกตัวหาย เบาสบายเหมือนปุยนุ่นจะลอยได้ ปัจจุบันนี้ บางวันจะนิ่งจนรู้สึกเหมือนแยกใจกับกายออกจากกันได้ ลูกนั่งสมาธิมีความสุขทุกวันเลยค่ะ สุขอะไร ก็ไม่เท่า เฝ้าดูใจเราเอง เมื่อก่อนเวลาคิด ลูกจะชอบใช้หัวคิดทำให้ปวดหัว แต่พอได้ทำสมาธิจริงจัง จะรู้วิธีคิดที่ศูนย์กลางกาย หลังจากนั้นก็ไม่ปวดหัวอีกเลย
 
    ตอนนี้ลูกซึ้งแล้วกับคำว่า ธุรกิจกับจิตใจ ต้องไปด้วยกัน ลูกมี คอนโด Water Ford ให้ชาวต่างชาติเช่า แถวสุขุมวิทซอย 46 หลายห้อง ห้องหนึ่งตกราว หมื่นห้าถึงสามหมื่นต่อเดือน ช่วงไม่มีคนเช่า ลูกจะนึกถึงห้องเช่าที่กลางกาย ทำห้องเช่ากับห้องใจ ให้เป็นห้องเดียวกัน ไม่เกิน 2 วัน ก็จะมีคนจะมีติดต่อขอเช่าห้องอย่างง่ายๆ ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงเดือนที่แล้ว ลูกก็ใช้หลักวิชชานำของที่ต้องการขายวางเบาๆที่ศูนย์กลางกาย อาทิตย์เดียวก็มีคนมาขอซื้อ ได้เงินหลายแสนตามเป้าหมาย    เมื่อจิตใจงดงาม ธุรกิจก็งอกเงยไปด้วย
 
    ลูกอยากมีโอกาสนั่งสมาธิกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตอนนี้ลูกซ้อมนั่งหน้าจอไปก่อน และจะตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดีทุกวัน รอว่าสักวันคงจะได้มีโอกาสศึกษาวิชชาธรรมกายกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อค่ะ
 
ลูก กัลยาณมิตร พรทิพย์ เครือประดับ
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/world_meditation/Thailand_Pone_tip.html
เมื่อ 3 กรกฎาคม 2567 16:12
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv