ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2553พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 21 ยุคศิวิไลซ์อันน่าอัศจรรย์พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่ 21 "ยุคศิวิไลซ์อันน่าอัศจรรย์"เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาความเดิมจากตอนที่แล้ว... ครั้นท่านอชิตภิกษุละอัตภาพจากภพชาตินั้นไปแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งในขณะนี้ ท่านเทพบุตรบรมโพธิสัตว์ก็กำลังรอคอยเวลาที่จะลงมาตรัสรู้ธรรมเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าสืบไปกล่าวกันว่า ในยุคสมัยของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในยุคของพวกเรานั้น พระพุทธศาสนาจะยืนยาว และยังประโยชน์อันไพบูลย์ให้เกิดแก่โลกและจักรวาล ได้ยาวนานอย่างน้อย 5,000-ปี หลังจากนั้น พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งปัญญาและเหตุผล ก็จะค่อยๆเลือนหายไปจากโลก เพราะคนจะเริ่มเสื่อมจากศีลธรรมลงไปเรื่อยๆเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ถูกกิเลสครอบงำอย่างแรงกล้า จนทำให้มีปัญญาหยาบและไม่ตั้งอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะสูญสิ้นไปจากโลกใบนี้ในที่สุด และด้วยเหตุที่คนเสื่อมจากศีลธรรมนี้เอง จึงส่งผลทำให้อายุขัยของมนุษย์ในช่วงนั้น สั้นลงไปเรื่อยๆ จนอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ลดเหลือเพียงแค่ 10-ปี (ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ที่ 75 ปี)เมื่อใดที่อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ลดลงจนเหลือเพียงแค่ 10-ปี เมื่อนั้นโลกของเราก็จะเข้าสู่ช่วงกลียุค ซึ่งเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่บนโลกจะถูกอกุศลกรรมครอบงำจิตใจ และในช่วงนี้เอง คนที่ถูกอกุศลกรรมครอบงำจิตใจ หรือพูดสั้นๆง่ายๆว่า “คนชั่ว”_ก็จะออกมาฆ่าฟันกันเอง ส่วนคนดีหรือคนที่ประกอบแต่กุศลกรรม ซึ่งถือเป็นชนกลุ่มน้อยในยุคนั้น ก็จะพากันหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่า เมื่อคนชั่วได้เข่นฆ่ากันเองจนตายเกือบหมดสิ้น คนดีก็จะกลับออกมา ครั้นกลับออกมาแล้ว เห็นคนชั่วนอนตายกันเกลื่อนเมือง คนดีก็จะเกิดอาการสลดใจว่า ทำไม...มนุษย์ต้องมาเข่นฆ่ากันเช่นนี้หลังจากนั้น ผู้ที่เหลือรอดจากสงคราม (ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนชั่ว)_ในครั้งนั้น ก็จะเริ่มตั้งใจทำความดี เมื่อทำความดีกันมากเข้า...มากเข้า อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ก็จะเพิ่มมากขึ้นแบบทับทวีไปเรื่อยๆ คือ จากสิบจะเป็นยี่สิบ จากยี่สิบจะเป็นสี่สิบ จากสี่สิบจะเป็นแปดสิบ จากแปดสิบจะเป็นหนึ่งร้อยหกสิบ แล้วทับทวีเป็นเท่าตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ยาวนานถึงอสงไขยปีเลยทีเดียวเมื่อใดที่อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ยืนยาวมากถึงอสงไขยปี มนุษย์ในยุคนั้นก็แทบจะไม่รู้จักกับความตาย และเมื่อความตายอยู่ไกลเกินกว่าที่มนุษย์ในยุคนั้นจะเข้าถึง มนุษย์ก็จะเริ่มดำรงชีวิตด้วยความประมาท และเริ่มถอยห่างจากศีลธรรมไปทีละเล็กละน้อยจากจุดนี้เอง ได้ส่งผลทำให้อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์จากเดิมที่อายุยืนถึงอสงไขยปี ก็จะเริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ คือ จากอสงไขยปีจะค่อยๆลดน้อยถอยลงจนกลายเป็นเหลือโกฏิปี จากโกฏิปีจะค่อยๆลดน้อยถอยลงจนเหลือแสนปี จากแสนปีจะค่อยๆลดน้อยถอยลงจนเหลือแปดหมื่นปีเมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป จนอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ลดลงเหลือประมาณแปดหมื่นปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ซึ่งมีพระนามว่า “พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า”_ก็จะเสด็จอุบัติลงมาบังเกิดบนโลก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ จัดเป็นพระพุทธเจ้าประเภท วิริยาธิกพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยความเพียร เพราะพระองค์ทรงสร้างบารมีมายาวนานถึง 80-อสงไขยกับแสนมหากัป ซึ่งสร้างบารมีมายาวนานกว่าพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีมา 20-อสงไขยกับแสนมหากัปด้วยเหตุที่พระศรีอริยเมตไตรย์ทรงสร้างบารมีมายาวนานเช่นนี้ วงบุญของพระองค์จึงมีขนาดใหญ่และแวดล้อมไปด้วยผู้ที่มีบุญบารมีเป็นจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมทำให้ในยุคที่พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะลงมาบังเกิด จึงกลายเป็นยุคที่มีความศิวิไลซ์เป็นที่น่าอัศจรรย์และน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง พูดได้เลยว่า คนในยุคปัจจุบัน เมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคสมัยของพระศรีอริยเมตไตรย์แล้ว จะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบนโลก”ความอัศจรรย์แห่งยุคพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้มีปรากฏในคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ซึ่งสามารถจำแนกเป็นหัวข้อคร่าวๆ ได้อย่างน้อย 6 ประการ ดังต่อไปนี้ความอัศจรรย์ลำดับที่ 1.ได้แก่ เรื่องสภาพเศรษฐกิจและสังคม โลกในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น ผู้มีบุญจะลงมาเกิดกันจนเต็มแผ่นดิน จนเป็นผลทำให้โลกในยุคนั้น มีแต่สันติสุขและจะไม่มีการรบราฆ่าฟันกันเลย เพราะผู้คนในยุคนั้น จะมีศีลธรรมประจำใจ และมีความรักใคร่ฉันพี่น้อง มองกันด้วยความเอื้ออาทร ภาพของโลกในยุคนั้น ประชากรบนโลกจะมีเป็นจำนวนมาก และจะสร้างอาคารบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆกัน แต่ถึงกระนั้น อาหารการกินกลับอุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสนเลยแม้สักนิดเดียว พูดง่ายๆ คือ เหลือกินเหลือใช้นั่นเอง นอกจากนั้น...โลกในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์ ยังปราศจากความเหลื่อมล้ำทางสังคมอีกด้วย
http://goo.gl/UwVDH