ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2553ตอน พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 35 อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์เห็นเทวทูตทั้งสี่พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่ 35 "อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์เห็นเทวทูตทั้งสี่"เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาก่อนที่เราจะลงรายละเอียดในช่วงที่พระศรีอริยเมตไตรย์จะลงมาบังเกิดบนโลก เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า...เรื่องราวที่จะนำมาเล่าให้ฟังในส่วนนี้ คุณครูไม่ใหญ่ได้นำข้อมูลมาจากตำราหรือพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ที่ได้กล่าวถึงเรื่องราวของพระศรีอริยเมตไตรย์ในส่วนนี้ ในบางช่วงก็นำข้อมูลมาจากคัมภีร์ทางฝั่งลังกาและล้านนา ในบางช่วงก็นำข้อมูลมาจากคัมภีร์โบราณของไทย อาทิ ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ในบางช่วงก็นำข้อมูลมาจากพระไตรปิฎก แม้แต่ละคัมภีร์จะมีความเหมือนกันในหลายๆจุด แต่ในบางจุดก็มีความแตกต่างกัน น้อยบ้าง มากบ้าง แต่ไม่ว่าจะมากจากคัมภีร์ทางฝั่งไหน...ก็ถือว่าดีทั้งนั้น ดังนั้น ถ้ามีจุดไหนที่ฟังดูแล้ว รู้สึกว่าไม่แน่ชัด ก็อย่าถือสาคุณครูไม่ใหญ่ เนื่องจากในตำราว่ามาอย่างนั้นเมื่อพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาบังเกิดบนโลกแล้ว พระองค์จะทรงมีพระนามว่า “อชิตพราหมณ์”-โดยจะมีพุทธบิดาพระนามว่า “สุพรหมพราหมณ์”-ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิ (ปุโรหิตก็คือ...ที่ปรึกษาของพระราชา)-และจะมีพุทธมารดาพระนามว่า “พรหมวดีพราหมณี” โดยพระองค์จะทรงประสูติที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันครั้นประสูติแล้ว อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ จะพรั่งพร้อมไปด้วยโลกียสมบัติทุกอย่าง และจะทรงพระเกษมสำราญในปราสาทแก้วสามฤดู อีกทั้ง พระองค์ยังทรงมีนางจันทมุขีพราหมณีเป็นภรรยา และจะทรงอยู่ครองเพศฆราวาสประมาณ 20,000-ปี-(ตัวเลขในส่วนนี้ ได้อ้างอิงมาจากคัมภีร์โบราณของไทย อาทิ ไตรภูมิโลกวินิจฉัย)จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ในขณะที่อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ กำลังเสด็จเดินทางไปยังพระราชอุทยานโดยราชรถ พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นคนที่อยู่ในช่วงเบื้องปลายของชีวิต (ยุคนั้นไม่มีคนแก่)-ที่เทวดาได้เนรมิตกายเอาไว้ เพื่อสะกิดใจให้พระองค์ไม่ทรงไปยึดติดในร่างกายอันไม่เที่ยง ซึ่งคนในยุคนั้น...แม้อายุจะอยู่ในช่วงวัยชราหรือช่วงเบื้องปลายของชีวิต แต่หน้าตา ยังดูเต่งตึงไม่แพ้คนวัยหนุ่มสาว กล่าวคือ...ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกจะดูไม่ออก เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นคนที่อยู่ในช่วงเบื้องปลายของชีวิตเช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงรู้สึกสะท้อนใจและเกิดความคิดขึ้นมาว่า “สักวันหนึ่ง...เราก็คงจะต้องกลายเป็นคนชราเช่นนี้แน่ๆ”-ครั้นพระองค์ทรงคิดเช่นนี้ พระองค์จึงเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตทางโลกนับตั้งแต่วินาทีนั้น ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงหมดอารมณ์ที่จะเดินทางต่อ และตัดสินพระทัยเสด็จเดินทางกลับในทันทีในวันต่อมา ในขณะที่อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ กำลังทรงเสด็จเดินทางไปยังพระราชอุทยาน พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บ ที่เทวดาได้เนรมิตกายเอาไว้ เพื่อสะกิดใจให้พระองค์ไม่ทรงไปยึดติดในความไม่มีโรค เราคงจะจำกันได้ว่า โรคภัยไข้เจ็บในยุคนั้น มีอยู่เพียงแค่สามโรคเท่านั้น ได้แก่1.อด หรือโรคที่เกิดจากความหิว 2.อืด หรือโรคที่เกิดจากความเมาอาหาร กล่าวคือ กินอาหารเกินพอดี3.อ่อนแอ หรือโรคที่เกิดจากสังขารร่างกายเริ่มเสื่อม เรี่ยวแรงเริ่มถดถอย แต่สภาพภายนอกยังดูเหมือนสมัยที่ยังเป็นหนุ่มสาว ไม่ได้แก่หง่อมเหมือนคนในยุคปัจจุบัน พูดง่ายๆว่า...สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นไม่ตรงกันเมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บเช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงรู้สึกสะท้อนใจและเกิดความคิดขึ้นมาว่า “สักวันหนึ่ง...เราก็คงจะต้องมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งแน่ๆ”-ครั้นพระองค์ทรงคิดเช่นนี้ พระองค์จึงยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตทางโลกมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงหมดอารมณ์ที่จะเดินทางต่อ และตัดสินพระทัยเสด็จเดินทางกลับ ในรุ่งขึ้นของอีกวันหนึ่ง ในขณะที่อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ กำลังทรงเสด็จเดินทางไปยังพระราชอุทยาน พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นคนตาย ที่เทวดาได้เนรมิตกายเอาไว้ เพื่อสะกิดใจให้พระองค์ไม่ทรงไปยึดติดในชีวิตอันยืนยาว เพราะอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคนั้น ยืนยาวถึง 80,000-ปีเลยทีเดียว (ประมาณว่า...ได้เห็นคนที่หมดอายุขัยหายแวบไปต่อหน้าต่อตา เนื่องจากในยุคนั้น ทันทีที่หมดลมหายใจ ร่างกายของผู้นั้นก็จะหายไป)-เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นคนตายเช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงรู้สึกสลดใจและเกิดความคิดขึ้นมาว่า “สักวันหนึ่ง...เราก็คงจะต้องตายเช่นชายคนนี้เหมือนกัน”-ครั้นพระองค์ทรงคิดเช่นนี้ พระองค์จึงยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตทางโลกมากขึ้นแบบทับทวี ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงหมดอารมณ์ที่จะเดินทางต่อ และตัดสินพระทัยเสด็จเดินทางกลับในที่สุดในรุ่งอรุณของวันถัดมา ในขณะที่อชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ กำลังทรงเสด็จเดินทางไปยังพระราชอุทยาน (ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้าย)-พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะ ที่เทวดาได้เนรมิตกายเอาไว้ เพื่อสะกิดใจให้พระองค์ทรงมีความรู้สึกอยากออกบวช เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะที่แลดูสงบเสงี่ยม สง่างาม และดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เหมือนคนที่บรรลุเป้าหมายในทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ใจจึงเป็นอิสรภาพจากทุกสิ่งที่เป็นเครื่องยึดของใจ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงรู้สึกมีใจน้อมไปในการบรรพชา และอยากจะมีชีวิตดังเช่นสมณะรูปนั้นบ้าง เพราะการใช้ชีวิตในเพศสมณะนั้น...ถือเป็นการใช้ชีวิตอันประเสริฐ และเลิศกว่าการใช้ชีวิตใดๆในโลก ครั้นพระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกบวชแล้ว ก็พลันมีเหตุอัศจรรย์บังเกิดขึ้นในทันที ส่วนเหตุอัศจรรย์ดังกล่าวจะเป็นเรื่องอะไร โปรดติดตามตอนต่อไปชม Video Scoop พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 35
http://goo.gl/z1dYW