ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2553ตอน พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 38 อชิตพราหมณ์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่ 38 "อชิตพราหมณ์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาความเดิมจากตอนที่แล้ว... ในค่ำคืนนั้นเอง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15-ค่ำ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ พระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ ก็จักตั้งความเพียรอันประกอบไปด้วยองค์สี่ หรือ จาตุรงคมหาปธาน โดยพระองค์ได้ทรงตั้งพระทัยว่า “แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่เอ็น กระดูก หนัง ก็ตามที หากยังไม่ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว เราก็จะไม่ลุกจากที่”เมื่อพระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้ทรงตั้งพระทัยอันประกอบไปด้วยองค์สี่ หรือ จาตุรงคมหาปธาน เช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงประทับนั่งเข้าที่ ตั้งพระวรกายตรง ดำรงสติมั่น อยู่ภายใต้ควงต้นมหาโพธิพฤกษ์ ครั้นช่วงเวลาแห่งรัตติกาล ได้ล่วงเข้าสู่ช่วงปฐมยาม คือ ช่วงเวลาตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม พระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ จักทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือสามารถระลึกชาติหนหลังของพระองค์เองได้ต่อมา เมื่อเวลาแห่งรัตติกาลได้ล่วงเข้าสู่ช่วงมัชฌิมยาม คือ ช่วงเวลาตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสอง พระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ จักทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ สามารถล่วงรู้การเกิดและการดับของหมู่สัตว์ทั้งหลายได้เมื่อเวลาแห่งรัตติกาลได้ล่วงมาถึงช่วงสุดท้ายหรือปัจฉิมยาม คือ ช่วงเวลาตั้งแต่ตีสองถึงหกโมงเช้า ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแห่งค่ำคืนวันวิสาขะ พระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ จักทรงหยั่งพระญาณเพื่อพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม (คือ พิจารณากลับไปกลับมา) ขยายความเรื่องปฏิจจสมุปบาทปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ธรรมที่เกี่ยวเนื่องกันจนเป็นลูกโซ่ และเป็นปัจจัยติดต่อกันไม่ขาดสาย กล่าวคือ เมื่อสิ่งนี้มี...สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น...สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น ดังนั้น การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นขั้นตอนการพิจารณาของจิตในการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 12-ประการ โดยคุณครูไม่ใหญ่จะกล่าวเฉพาะหัวข้อหลักๆ เพื่อให้เราพอรู้โดยสังเขปว่า ขั้นตอนแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง ดังนี้ เพราะมีอวิชชา (ความไม่รู้) สังขารจึงเกิดขึ้น เพราะมีสังขาร (สิ่งปรุงแต่งจิตที่ทำให้เกิดการกระทำออกมาทางกาย วาจา ใจ ทั้งที่เป็นกุศล เป็นอกุศล หรือที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล)-วิญญาณจึงเกิดขึ้น เพราะมีวิญญาณ (ดวงจิตที่นำไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญ บาป หรือไม่บุญไม่บาป ที่แต่ละคนได้สั่งสมเอาไว้)-นามรูปจึงเกิดขึ้น เพราะมีนามรูป (ขันธ์ 5-ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) สฬายตนะจึงเกิดขึ้น เพราะมีสฬายตนะ (อายตนะภายในทั้ง 6-คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ผัสสะจึงเกิดขึ้น เพราะมีผัสสะ (การกระทบกันของอายตนะภายในกับภายนอก ได้แก่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับสัมผัส ใจกับอารมณ์ต่างๆ)-เวทนาจึงเกิดขึ้น เพราะมีเวทนา (อารมณ์สุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์) ตัณหาจึงเกิดขึ้น เพราะมีตัณหา (ความอยาก ได้แก่ อยากมีนั่นอยากมีนี่ อยากเป็นแบบนั้นอยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากเป็นแบบนั้นไม่อยากเป็นแบบนี้)-อุปาทานจึงเกิดขึ้น เพราะมีอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ภพจึงเกิดขึ้น เพราะมีภพ (สถานที่รองรับการเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย) ชาติจึงเกิดขึ้น เพราะมีชาติ (การถือกำเนิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย)-ชรา (ความแก่)-มรณะ (ความตาย)-โสกะ (ความโศกเศร้า)-ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ)-ทุกข์ (ความไม่สบายกาย)-โทมนัส (ความไม่สบายใจ)-และ อุปายาส (ความคับแค้นใจ) จึงเกิดขึ้น ดังนั้น อวิชชา จึงเป็นต้นเหตุของกระบวนการทั้งหมด วันใดที่เราขจัดอวิชชา ด้วยการทำใจหยุดนิ่งอย่างสบายๆ จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้รู้ภายใน เมื่อนั้น วิชชา คือ...การรู้แจ้งเห็นแจ้งเป็นไปตามความเป็นจริงก็จะเกิดขึ้น ซึ่งความรู้ตรงนี้...จะเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ที่จะนำเราไปสู่ความหลุดพ้นอันแท้จริง และในกาลนี้เอง กล่าวคือ ช่วงรุ่งอรุณที่แสงแห่งดวงตะวันได้สาดแสงสีทองส่องอร่ามงดงามไปทั่วท้องฟ้า พระอชิตพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ จักได้บรรลุอาสวักขยญาณ สามารถทำลายกิเลสอาสวะให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษเป็นสมุทเฉทปหาน ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในที่สุดชม Video Scoop พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 38
http://goo.gl/aZyH5