กรณีศึกษาคุณหมอปุ้ยตายแล้วไปไหน ตอนที่ 1

ในช่วงที่อาการป่วยของเธอเริ่มกำเริบหนัก ตัวเธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มีความกังวลอยู่ภายในใจลึกๆ เธอพยายามนึกถึงบุญทุกๆ บุญ และมหาปูชนียาจารย์ที่เธอเคารพรักอย่างสูงสุด https://dmc.tv/a14920

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ช่วงเด่นฝันในฝัน > ปกิณกธรรม > กรณีศึกษากฎแห่งกรรม
[ 5 ม.ค. 2556 ] - [ ผู้อ่าน : 18280 ]
 
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 2 มกราคม พ.ศ.2556
 
 
 
Case Study
คุณหมอปุ้ยตายแล้วไปไหน ตอนที่ 1
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
 
        คำถามข้อที่ 1 คุณหมอตายแล้วไปไหน มีข้อความอะไรฝากมาถึงหรือไม่ครับ
 
        คำตอบข้อ...ในช่วงที่อาการป่วยของเธอเริ่มกำเริบหนัก แล้วตัวเธอเองก็นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอมีความกังวลอยู่ภายในใจลึกๆ ว่า “ถ้าเธอเป็นอะไรไปจริงๆ เธอจะได้กลับไปดุสิตบุรีหรือเปล่า” ที่เธอเกิดความกังวลใจเช่นนี้ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่า ตัวเธอเพิ่งเข้าวัดมาได้ไม่นาน คือราวๆ ปี พ.ศ.2546 อีกทั้งกว่าที่เธอจะเข้าใจเรื่องการสั่งสมบุญสร้างบารมีเพื่อไปสู่ที่สุดแห่งธรรมแบบลึกซึ้ง ก็หลังจากที่เธอเข้าวัดมาได้สักพักใหญ่ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นผลทำให้ตัวเธอไม่มั่นใจเลยว่า กำลังบุญของเธอจะเพียงพอที่จะทำให้เธอได้กลับดุสิตบุรีหรือเปล่า ด้วยความกังวลใจดังกล่าวนี้เอง จึงกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอพยายามนึกถึงบุญทุกๆ บุญ รวมถึงนึกถึงภาพของมหาปูชนียาจารย์ที่เธอเคารพรักอย่างสูงสุด พร้อมกับอธิษฐานจิตตอกย้ำซ้ำๆ ในทุกๆ ครั้งที่เธอรู้สึกเจ็บปวดหรือยังพอมีสติรู้ตัวในทำนองที่ว่า “ถ้าหากเธอเป็นอะไรไปจริงๆ ขอบารมีธรรมของมหาปูชนียาจารย์ทุกๆ องค์ และบุญทุกๆ บุญที่เธอทำ จงช่วยให้เธอได้กลับดุสิตบุรีด้วยเทอญฯ”
 
ช่วงที่ตัวเธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอมีความกังวลใจลึกๆ จึงพยายามนึกถึงบุญทุกๆ บุญ และมหาปูชนียาจารย์
ช่วงที่ตัวเธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอมีความกังวลใจลึกๆ จึงพยายามนึกถึงบุญทุกๆ บุญ และมหาปูชนียาจารย์
 
 
        และก่อนหน้าที่เธอจะหมดสติลงไปแบบถาวร เธอเหมือนจะรู้อาการของตัวเธอเองดีว่า นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้นึกถึงบุญ ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามฝืนใจสะกัดกั้นความรู้สึกเจ็บปวด แล้วก็นึกถึงภาพของมหาปูชนียาจารย์ รวมถึงพยายามนึกถึงบุญทุกๆ บุญที่เธอรู้สึกปลื้มอย่างช้าๆ เท่าที่สติของเธอพอจะนึกถึงได้ในตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่นบุญที่เธอได้ถวายการรักษาโรคทางช่องปากแก่ภิกษุผู้อาพาธ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น หรือบุญที่เธอตัดใจขายคลินิคทำฟันของตัวเอง เพื่อนำเงินมาหล่อรูปเหมือนทองคำพระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นจำนวน 1 กิโลกรัม ซึ่ง 2 บุญนี้ถือเป็นบุญหลักที่เธอนึกได้อย่างแจ่มชัดที่สุด นอกจากนั้นยังมีบุญอื่นๆ ที่เธอได้ตั้งใจสั่งสมเอาไว้อย่างดีแล้วกับหมู่คณะ เช่น บุญจากการชวนคนบวช หรือบุญจากการเปิดบ้านกัลยาณมิตรให้คนมาปฏิบัติธรรม รวมถึงบุญบวชสามเณรลูกชาย เป็นต้น
 
ก่อนที่เธอจะหมดสติลงไปแบบถาวร เธอพยายามนึกถึงภาพของมหาปูชนียาจารย์และนึกถึงบุญทุกๆ บุญที่เธอรู้สึกปลื้ม
ก่อนที่เธอจะหมดสติลงไปแบบถาวร เธอพยายามนึกถึงภาพของมหาปูชนียาจารย์และนึกถึงบุญทุกๆ บุญที่เธอรู้สึกปลื้ม
 
 
        ซึ่งในระหว่างที่เธอกำลังนึกถึงบุญอยู่นั้น เธอก็จะอธิษฐานจิตตอกย้ำอยู่ภายในใจสั้นๆ อย่างมุ่งมั่น แล้วก็แน่วแน่ว่า “ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรี ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรี ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรี” เช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งสติสุดท้ายของเธอได้หมดลง คือยังไม่ถึงกับตาย แต่สภาวะร่างกายโดยเฉพาะสมองไม่ตอบสนองกับสิ่งใดแล้วนั้น
 
ในสติสุดท้ายของเธอหมดลง ณ ศูนย์กลางกายของเธอก็สว่างไสวผ่องใสยิ่งกว่าคนปกติ
ในสติสุดท้ายของเธอหมดลง ณ ศูนย์กลางกายของเธอก็สว่างไสวผ่องใสยิ่งกว่าคนปกติ
 
        และในทันทีที่สติสุดท้ายของเธอหมดลง ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลของกายหยาบก็พลันหมดลงตามไปด้วย คือในช่วงนั้น เห็น จำ คิด รู้ และช่องทางรับรู้ของกายมนุษย์หยาบ ซึ่งก็คืออายตนะภายในทั้ง 6 ไม่เนื่องถึงกันแล้ว เพราะเห็น จำ คิด รู้ของเธอถูกดวงเจ็บและดวงตายหุ้มเคลือบจนแน่น จนเป็นผลทำให้อายตนะภายในทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เหมือนถูกฟรีซ หรือหยุดการเชื่อมต่อ แต่ทว่า ณ ศูนย์กลางกายของเธอในขณะนั้น กลับสว่างไสวผ่องใสยิ่งกว่าคนปกติหลายๆ คนที่ยังมีสติสัมปะชัญญะครบถ้วนเสียอีก
 
 
        ส่วนสาเหตุที่ทำให้ใจของเธอผ่องใสสว่างไสวทั้งๆ ที่เธอหมดสติอย่างถาวรไปแล้วนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่เธอรู้ตัวว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง เธอก็ได้เตรียมความพร้อมด้วยการตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท อีกทั้งเธอยังตั้งใจสั่งสมบุญสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกำลังแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สวนกระแสโรคภัยไข้เจ็บที่เธอกำลังเป็นอยู่ หรือแม้แต่ในช่วงที่สภาพร่างกายของเธอเริ่มถดถอย จนต้องมานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอก็ได้ใช้ความพยายามในการอดทนอดกลั้น ต่อสู้กับความเจ็บปวดอันเกิดจากโรคมะเร็งที่เธอกำลังเป็นอยู่ ด้วยการเอาใจเกาะเกี่ยวอยู่ที่ศูนย์กลางกายพร้อมกับนึกถึงบุญอยู่ตลอดเวลา
 
เหตุที่ทำให้ใจของเธอผ่องใสสว่างไสวทั้งๆ ที่เธอหมดสติอย่างถาวรไปแล้ว
เหตุที่ทำให้ใจของเธอผ่องใสสว่างไสวทั้งๆ ที่เธอหมดสติอย่างถาวรไปแล้ว
 
  
        และเมื่อวาระสุดท้ายของเธอมาถึง ด้วยความที่เธอเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นนึกถึงบุญทุกๆ บุญที่เธอได้ทุ่มเททำเอาไว้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง ในสมัยที่ยังมีชีวิตด้วยความปลื้มปีติใจ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นประเด็นหลัก รวมถึงนึกถึงภาพของมหาปูชนียาจารย์ และอธิษฐานจิตตอกย้ำซ้ำๆ อย่างแน่วแน่อยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่สติสุดท้ายของเธอจะหมดลงว่า “ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรี ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรี ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรี” จึงส่งผลทำให้ในทันทีที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอหมดลง ผลบุญที่เธอสั่งสมเอาไว้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง และทำอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ว่าจะเป็นบุญที่เธอตัดใจขายคลินิคทำฟันของตัวเอง เพื่อนำเงินมาหล่อรูปเหมือนทองคำพระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นจำนวน 1 กิโลกรัม หรือบุญที่เธอได้ถวายการรักษาโรคทางช่องปากแก่ภิกษุผู้อาพาธโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงบุญอื่นๆ อีกหลายบุญที่เธอได้ตั้งใจสั่งสมเอาไว้อย่างดีแล้วกับหมู่คณะ เช่น บุญจากการชวนคนบวช หรือบุญจากการเปิดบ้านกัลยาณมิตร หรือบุญบวชสามเณรลูกชาย เป็นต้น ก็ได้มาประมวลรวมกันส่งผลจนทำให้เธอได้กลับไปแวะพักกลางทางที่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์ สมดังความปรารถนาที่เธอได้ตั้งใจเอาไว้ โดยเธอได้ไปบังเกิดเป็นเทพธิดาสุดสวยโสภา ด้วยอาการเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นอยู่กลางวิมานที่มีลักษณะเป็นรูปทรงของดอกบัว ที่ทำด้วยแก้วผลึกเหลือบรุ้ง, ทองแก้ว และประดับประดาไปด้วยรัตนชาติที่สวยงามวิจิตรตระการตาอยู่ในเขตของกองเสบียงโซนกลางๆ
 
ผลบุญที่เธอสั่งสมเอาไว้ได้มารวมกันส่งผลทำให้เธอได้กลับไปพักกลางทางที่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์
ผลบุญที่เธอสั่งสมเอาไว้ได้มารวมกันส่งผลทำให้เธอได้กลับไปพักกลางทางที่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์
 
 
        ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอแว้บกลับดุสิตบุรี โดยไม่ต้องรอเทวรถมารับเหมือนอย่างเคสอื่นๆ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะผลแห่งบุญทุกๆ บุญที่เธอได้ทุ่มเททำเอาไว้อย่างเต็มที่เต็มกำลังและทำอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันในสมัยที่ยังมีชีวิต ซึ่งถือเป็นประเด็นหลักและเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้เธอได้กลับดุสิตบุรี กอปรกับในช่วงที่เธอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เธอมีความกังวลอยู่ภายในใจลึกๆ ว่า “ถ้าเธอเป็นอะไรไปจริงๆ เธอจะได้กลับไปดุสิตบุรีหรือเปล่า” และด้วยความที่เธอกลัวไม่ได้กลับดุสิตบุรีนี้เอง จึงทำให้ไม่ว่าเธอจะนึกถึงบุญอะไรก็ตาม สุดท้ายเธอก็จะอธิษฐานจิตอย่างมุ่งมั่นว่า ขอให้เธอได้กลับดุสิตบุรีในทุกๆ ครั้ง แบบตอกย้ำซ้ำๆ ซึ่งก็มีอยู่หลายครั้งที่เธอพยายามนึกถึงภาพที่เกี่ยวกับดุสิตบุรี ตามภาพประกอบที่คุณครูไม่ใหญ่เคยนำมาให้ดูในช่วง Case Study ในระหว่างที่เธอกำลังอธิษฐานจิต เหมือนเป็นส่วนเสริมที่ช่วยทำให้ใจของเธอเกาะเกี่ยวกับดุสิตบุรีได้ง่ายขึ้น เช่น ภาพเทพธิดาที่กำลังนั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งก็นึกออกบ้าง ไม่ออกบ้าง บางครั้งก็นึกได้เป็นส่วนๆ หรือพอเป็นเลาๆ พอเป็นเค้าเป็นโครง เป็นต้น
 
สาเหตุที่ทำให้เธอกลับดุสิตบุรีได้โดยไม่ต้องรอเทวรถมารับ
สาเหตุที่ทำให้เธอกลับดุสิตบุรีได้โดยไม่ต้องรอเทวรถมารับ
 
 
        และด้วยความที่กำลังบุญของเธอมีเพียงพอที่จะกลับดุสิตบุรี อีกทั้งใจของเธอยังผูกติดและมุ่งมั่นอย่างมากๆ ที่จะกลับดุสิตบุรีให้ได้ จึงเป็นผลทำให้ในทันทีที่กายละเอียดของเธอหลุดออกมาจากกายหยาบ กายละเอียดของเธอก็ได้แว้บไปบังเกิดเป็นกายทิพย์ หรือกายเทพธิดาสุดสวยโสภาอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ 4 หรือดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์ในทันที
 
ด้วยกำลังบุญของเธอมีเพียงพอที่จะกลับดุสิตบุรี ทำให้กายละเอียดของเธอได้แว้บไปบังเกิดเป็นเทพธิดาสุดสวยโสภา
ด้วยกำลังบุญของเธอมีเพียงพอที่จะกลับดุสิตบุรี ทำให้กายละเอียดของเธอได้แว้บไปบังเกิดเป็นเทพธิดาสุดสวยโสภา
 
 
        ในช่วงแรกๆ ที่ท่านเทพธิดาใหม่ได้เห็นตัววิมาน รวมถึงเหล่าบริวารและทิพยสมบัติอันเป็นทิพย์ด้วยตาของตัวเองแบบไม่ต้องจินตนาการแล้ว ความรู้สึกปลื้มปีติใจแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็ได้เอ่อล้นท่วมท้นอยู่ภายในใจ จนทำให้ผิวกายของท่านเทพธิดาใหม่แลดูผ่องใสสวยงามกว่าในช่วงที่เพิ่งประกอบกายขึ้นมาใหม่ๆ อีกทั้งรัศมีกายก็พลันสว่างไสวเปล่งแสงเป็นประกายม้อบๆ แม้บๆ ไปทั่วทั้งวิมาน
 
ท่านเทพธิดาใหม่รู้สึกปลื้มปีติใจ เมื่อได้เห็นวิมาน เหล่าบริวารและสมบัติอันเป็นทิพย์ของตัวเอง
ท่านเทพธิดาใหม่รู้สึกปลื้มปีติใจ เมื่อได้เห็นวิมาน เหล่าบริวารและสมบัติอันเป็นทิพย์ของตัวเอง
 
 
        แต่เมื่อระดับความปลื้มปีติเริ่มอยู่ตัวและเข้าสู่ระดับปกติแล้ว ภายในใจของเธอก็พลันนึกถึงใครบางคนที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ ซึ่งใครคนนั้นก็คือลูกชายสุดที่รักของเธอทั้งสองคนนั่นเอง ในทันทีที่ภาพของลูกชายสุดที่รักทั้ง 2 คน ได้ผุดแทรกขึ้นมาเป็นภาพให้ท่านเทพธิดาใหม่ได้เห็นอยู่ภายในใจ ท่านเทพธิดาใหม่ก็ได้ใช้ทิพยจักษุของเธอสอดส่องไปดูลูกชายสุดที่รักทั้ง 2 คนในทันที
 
ภายในใจของเธอก็พลันนึกถึงลูกชายสุดที่รักของเธอทั้งสองคนขึ้นมา
ภายในใจของเธอก็พลันนึกถึงลูกชายสุดที่รักของเธอทั้งสองคนขึ้นมา
 
        ตรงนี้คงมีหลายๆ คนสงสัยว่าท่านเทพธิดาใหม่รู้เรื่องการใช้ทิพยจักษุได้อย่างไร หรือว่ามีใครบอกวิธีใช้ให้เธอรู้หรือเปล่า คำตอบก็คือเธอรู้ได้ด้วยตัวเธอเองโดยไม่มีใครบอก เพราะทิพยจักษุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับกายทิพย์หรือกายเทวดา เพราะฉะนั้นเทพบุตรเทพธิดาทุกองค์ ไม่ว่าจะเพิ่งถือกำเนิดใหม่หรืออยู่มานานแล้ว จะมีสัญชาตญาณหรือความรู้ในสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่กำเนิด เหมือนอย่างที่มนุษย์ทุกคนรู้ว่า ตามีไว้ดู หูมีไว้ฟัง ปากมีไว้เคี้ยวหรือเอาไว้พูด เป็นต้น
 
        เมื่อท่านเทพธิดาใหม่ใช้ทิพยจักษุมองดูลูกชายสุดรักทั้งสองคนแล้ว ท่านเทพธิดาใหม่ก็พยายามที่จะส่งกระแสจิต เพื่อที่จะสื่อสารและพูดคุยกับลูกชายสุดรักทั้ง 2 คน ตอนที่พวกเขากำลังนอนหลับ แต่ก็ดูเหมือนว่าลูกๆ ของเธอจะไม่สามารถรับรู้ถึงกระแสแห่งความรักของผู้เป็นแม่ที่กำลังส่งมาให้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะ อายตนะหรือช่องทางเชื่อมต่อระหว่างผู้ส่งซึ่งก็คือท่านเทพธิดาใหม่ กับผู้รับคือลูกชายทั้ง 2 คนของเธอ ไม่ตรงกันนั่นเอง
 
ท่านเทพธิดาใหม่พยายามส่งกระแสจิต เพื่อสื่อสารกับลูกชายสุดรักทั้ง 2 คน
ท่านเทพธิดาใหม่พยายามส่งกระแสจิต เพื่อสื่อสารกับลูกชายสุดรักทั้ง 2 คน
 
 
        และในวันเดียวกันนั้น หลังจากที่ท่านเทพธิดาใหม่ใช้ทิพยจักษุมองดูลูกๆ ของเธอแล้ว ท่านเทพธิดาใหม่ก็ได้ใช้ทิพยจักษุมองดูคนในครอบครัวของเธอ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ , คุณแม่ หรือบรรดาพี่น้องของเธอ จากนั้นเธอก็พยายามที่จะส่งกระแสจิตไปถึงคนในครอบครัวของเธอ ในขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับอยู่ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่บางคนเท่านั้นไม่ใช่ทุกคน เพราะเธอต้องการที่จะสื่อสารหรือบอกกล่าวให้หมู่ญาติอันเป็นที่รักของเธอ ช่วยดูแลลูกๆ แทนเธอด้วย ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นประเด็นหลัก รวมถึงเธอพยายามบอกให้ทุกๆ คนเห็นคุณค่าของการสั่งสมบุญ และตั้งใจสั่งสมบุญทำความดีให้มากๆ
 
ท่านเทพธิดาใหม่ได้ใช้ทิพยจักษุมองดูทุกคนในครอบครัวของเธอ
ท่านเทพธิดาใหม่ได้ใช้ทิพยจักษุมองดูทุกคนในครอบครัวของเธอ
 
        ส่วนว่าใครจะรับรู้ถึงกระแสจิตที่เธอพยายามสื่อสารมาได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงขึ้นอยู่กับอายตนะหรือช่องทางเชื่อมต่อ และความนิ่งของสภาวะจิตของแต่ละคนในขณะนั้นว่าจูนตรงกับกระแสที่เธอกำลังส่งมาให้หรือเปล่า
 
        และจากเรื่องราวในช่วงที่ท่านเทพธิดาใหม่พยายามจะส่งกระแสจิต เพื่อที่จะสื่อสารกับลูกๆ รวมถึงคนในครอบครัวของเธอนั้น คุณครูไม่ใหญ่ขอเสริมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องความผูกพันหรือความห่วงหาอาทรของกายทิพย์ หรือกายเทพบุตร, เทพธิดาที่มีต่อคน, สัตว์ หรือสิ่งของตอนสมัยที่ยังเป็นมนุษย์กันอีกสักนิด
 
ความห่วงหาอาทรของคนที่ได้ไปบังเกิดเป็นกายทิพย์นั้น แทบจะหมดไปตั้งแต่ตอนที่แปรเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ใหม่ๆ แล้ว
ความห่วงหาอาทรของคนที่ได้ไปบังเกิดเป็นกายทิพย์นั้น แทบจะหมดไปตั้งแต่ตอนที่แปรเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ใหม่ๆ แล้ว
 
        โดยปกติของคนที่ได้ไปบังเกิดเป็นกายทิพย์ ซึ่งก็คือกายเทพบุตร, เทพธิดาบนสวรรค์นั้น ยิ่งสวรรค์ชั้นสูงๆ อย่างสวรรค์ชั้นที่ 4 หรือดุสิตบุรี ความผูกพันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ บนโลกมนุษย์ของกายทิพย์ โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ, คุณแม่, ญาติพี่น้อง หรือบุคคลอันเป็นที่รักอย่างลูก, สามี, ภรรยา หรือเพื่อน แทบจะเจือจางเบาบาง หรือหมดไปตั้งแต่ตอนที่แปรเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ใหม่ๆ แล้ว
 
        ที่เป็นเช่นนี้ทั้งนี้ก็เป็นเพราะสภาวะของกายเทพบุตร , เทพธิดาบนสวรรค์ จะถูกหล่อเลี้ยงด้วยความปลื้มปีติ และความสุขที่เกิดจากผลแห่งบุญที่แต่ละคนสั่งสมเอาไว้ ในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ ซึ่งความปลื้มปีติและความสุขที่เกิดจากบุญหล่อเลี้ยงของกายทิพย์นี่เอง ที่ทำให้ความผูกพันหรือความห่วงหาอาทรในเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องคน, สัตว์ หรือสิ่งของบนโลกมนุษย์ของกายทิพย์ จะเจือจางเบาบางหรือจางหายไปจนหมดสิ้น
 
สภาวะของกายทิพย์นั้นจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยความปลื้มปีติ และความสุขที่เกิดจากผลแห่งบุญที่แต่ละคนสั่งสมเอาไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์
สภาวะของกายทิพย์นั้นจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยความปลื้มปีติ และความสุขที่เกิดจากผลแห่งบุญที่แต่ละคนสั่งสมเอาไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์
 
 
        ส่วนว่าความผูกพันหรือความห่วงหาอาทร จะเจือจางเบาบางหรือจางหายไปขนาดไหน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าก่อนที่เขาหรือเธอจะเสียชีวิต ภายในใจยังคงห่วงหรือมีความผูกพันกับใครหรือสิ่งใดอยู่หรือเปล่า ถ้าก่อนที่จะเสียชีวิต ใครสามารถปล่อยวางหรือคลายความผูกพันจากทุกสิ่งได้ เวลาบุญส่งผลให้ไปบังเกิดเป็นกายเทพบุตร, เทพธิดา ความผูกพันกับสิ่งต่างๆ บนโลกมนุษย์ก็จะหมดไปแบบสมบูรณ์
 
ความผูกพันจะเบาบางขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าก่อนที่เขาหรือเธอจะเสียชีวิต ภายในใจยังคงมีความผูกพันกับใครหรือสิ่งใดอยู่หรือไม่ แค่ไหน
ความผูกพันจะเบาบางขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าก่อนที่เขาหรือเธอจะเสียชีวิต ภายในใจยังคงมีความผูกพันกับใครหรือสิ่งใดอยู่หรือไม่ แค่ไหน
 
 
        แต่ถ้าใครยังคงมีความห่วงหรือมีความผูกพันเหลืออยู่ เวลาบุญส่งผลให้ไปบังเกิดเป็นกายเทพบุตร, เทพธิดา ความผูกพันจากสิ่งต่างๆ บนโลกมนุษย์ ก็อาจจะยังคงติดค้างอยู่ภายในใจ เพียงแต่ปริมาณความเข้มข้นก็จะลดระดับลงไปต่ำกว่าครึ่ง ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จาก 100 ก็อาจจะเหลือราวๆ 30 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่านั้น ประมาณว่าจากที่เคยรู้สึกห่วงมากๆ ซึ่งจะเจือไปด้วยความทุกข์กายทุกข์ใจ ก็จะลดระดับลงเหลือเพียงแค่ความห่วงใย ซึ่งจะไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจเจือปนเหมือนอย่างตอนที่เป็นกายมนุษย์หยาบ คือเป็นแค่ความรู้สึกห่วงที่อยากให้คนที่ตัวเองรักเจอแต่เรื่องดีๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พอนานวันไป ด้วยความปลื้มปีติและความสุขที่เกิดขึ้นจากสภาวะในการเป็นกายทิพย์ ก็จะทำให้ระดับความผูกพันหรือความห่วงหาอาทรที่เคยมีต่อสิ่งต่างๆ บนโลกมนุษย์ จะค่อยๆ เจือจางเบาบางลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดหรือหายไปในที่สุด
 
เวลาบุญส่งผลให้ไปบังเกิดเป็นกายทิพย์ ความผูกพันจากสิ่งต่างๆ บนโลกมนุษย์ ก็อาจจะยังคงติดค้างอยู่ภายในใจ แต่ปริมาณความเข้มข้นก็จะลดระดับลงไปต่ำกว่าครึ่ง
เวลาบุญส่งผลให้ไปบังเกิดเป็นกายทิพย์ ความผูกพันจากสิ่งต่างๆ บนโลกมนุษย์ ก็อาจจะยังคงติดค้างอยู่ภายในใจ แต่ปริมาณความเข้มข้นก็จะลดระดับลงไปต่ำกว่าครึ่ง
 
 
        อย่างในกรณีของคุณหมอ ในช่วงที่เธอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ภายในใจลึกๆ ของเธอก็ยังแอบเป็นห่วงเรื่องลูกๆ ของเธอไม่ได้ว่า “ถ้าหากเธอเป็นอะไรไป พวกเขาจะอยู่กันอย่างไร” แต่ด้วยความที่เธอรู้ตัวว่าเวลาของเธอเหลืออยู่ไม่มากแล้ว อีกทั้งเธอกลัวไม่ได้กลับดุสิตบุรีอย่างมากๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก จึงทำให้เธอได้ทำตามหลักวิชชาด้วยการพยายามนึกถึงแต่บุญ โดยไม่ให้มีเรื่องอื่นใดที่นอกเหนือจากนี้เข้ามาแทรกหรือเหนี่ยวรั้งในระหว่างนั้น
 
ความผูกพันที่ยังคงเหลืออยู่ ทำให้ภาพของลูกๆ มาปรากฏอยู่ภายในใจให้ท่านเทพธิดาใหม่ให้ได้นึกถึงบ้าง
ความผูกพันที่ยังคงเหลืออยู่ ทำให้ภาพของลูกๆ มาปรากฏอยู่ภายในใจให้ท่านเทพธิดาใหม่ให้ได้นึกถึงบ้าง
 
        ดังนั้นเมื่อถึงวันที่เธอละจากโลกแล้ว บุญที่เธอสั่งสมเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิต ได้ส่งให้เธอไปบังเกิดเป็นเทพธิดาสุดสวยอยู่บนดุสิตบุรี ความห่วงหาอาทรหรือความผูกพันที่มีต่อลูกๆ จึงยังคงมีตกค้างอยู่ภายในใจบ้าง เพียงแต่ปริมาณความผูกพันหรือความห่วงหาอาทรจะลดลงไปมากกว่าตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์ และด้วยความผูกพันที่ยังคงเหลืออยู่ จึงทำให้ภาพของลูกๆ มาปรากฏอยู่ภายในใจให้ท่านเทพธิดาใหม่ได้นึกคำนึงหา และนี่แหละ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ท่านเทพธิดาใหม่ได้ใช้ทิพยจักษุ พร้อมกับส่งกระแสจิตเพื่อที่จะสื่อสารกับลูกๆ และคนในครอบครัวของเธอนั่นเอง
 
        ในระหว่างที่ท่านเทพธิดาใหม่ กำลังเสวยสุขตามรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวสวรรค์ชั้นดุสิตบุรีไปได้สักพักใหญ่ๆ วันที่เธอรอคอยก็ได้มาถึง ส่วนว่าวันที่ว่านี้จะเป็นวันอะไร แล้วเธอจะได้เจอกับใครหรือได้เจอกับสิ่งใดนั้น เราก็คงต้องติดตามกันต่อในตอนต่อไป
 
 

http://goo.gl/2NGs7

     
Tag : โรคภัยไข้เจ็บ  โรคภัย  โรค  เสียชีวิต  เทวรถ  เทวดา  สวรรค์  สมอง  วิดีโอ  มะเร็ง  มหาปูชนียาจารย์  ฝันในฝันวิทยา  ฝันในฝัน  ผลบุญ  ปรโลกนิวส์  ปรโลก  ปฏิบัติธรรม  บุญ  บารมี  บ้านกัลยาณมิตร  บริวาร  ธรรมะ  ทุกข์  ตายแล้วไปไหน  ช่องปาก  

พิมพ์บทความนี้

ไปหน้าทบทวนฝันในฝัน



บทความอื่นๆ ในหมวด

      กิจกรรมพัฒนาวัดพิชิตปิตยาราม ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
      กิจกรรมพัฒนาวัดอู่ข้าว ต.คลอง 7 จ.ปทุมธานี
      อานุภาพบุญจากการมาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ได้ตึก 18 ล้านแค่เพียงกระพริบตา
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ความทรงอภิญญาของคุณยายฯที่ผมเจอกับตัวเอง
      ประกาศผลสุดยอดสามเณรแสดงธรรมระดับโลก
      เปิดใจสามเณรแชมป์แสดงธรรมระดับภาค ชิงชัยสู่เวทีแสดงธรรมระดับโลก
      ซุปเปอร์บิ๊กบุญ ตักบาตรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
      เส้นทางสามเณร สู่เวทีแชมป์เทศน์ระดับโลก
      เล่าเรื่องคุณยาย ตอน เรื่องเหลือเชื่อของการบูชาข้าวพระที่คุณยายฯฝากไว้
      บวชเณรล้านตักบาตรแสน สานฝันคุณยาย สร้างพระแท้
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน แค่มองหน้า..ก็รู้ทั้งหมด
      แฝด 4 บวชเณรล้านอ่างทองทำลายสถิติโลก