เล่าเรื่องพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯโดย พระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะภาค 7 พระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะภาค7 รองแม่กองบาลี กรรมการมหาเถรสมาคม พระอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดปากน้ำภาษีเจริญ และพระอาจารย์ใหญ่ของคุณครูไม่ใหญ่ ท่านเป็นผู้ที่อยู่ในยุคสมัยของ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายวันนี้ ท่านจะได้มีเรื่องราวในสมัยของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ มาเล่าสู่กันฟัง...***************เรียน ท่านเจ้าคุณราชภาวนาวิสุทธิ์ผมได้มาอยู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2498 กระทั่งท่านมรณภาพ ได้พบเห็นศีลาจารวัตรของหลวงพ่อ และได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านจากผู้ที่ได้พบเห็นมาเล่าสู่กันฟังจากการได้พบเห็นท่าน หลวงพ่อ...ท่านเกิดมาเพื่อสร้างบารมีจริงๆ อย่างเช่นที่ทุกคนก็เคยอ่านหนังสือชีวประวัติของหลวงพ่อ หลวงพ่อเริ่มสร้างบารมีมาตั้งแต่อยู่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ออกบิณฑบาตวันแรกๆไม่มีใครรู้จัก ก็ได้ข้าวมาเพียงทัพพีเดียว กล้วย 1ใบ ผลที่สุดมาเจอสุนัขแม่ลูกอ่อนนอนท้องกิ่วแสดงความหิวโหย แต่ว่ามันพูดภาษาคนไม่ได้หลวงพ่อ...ท่านก็มีความสำนึกว่า มันก็ชีวิต เราก็ชีวิต มีความหิวเหมือนกัน ท่านจึงแบ่งข้าวให้สุนัขกิน หลวงพ่อ...ท่านก็ประทังชีวิตในมื้อนั้นไปด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย ตั้งแต่นั้น การออกบิณฑบาตของหลวงพ่อ ก็ไม่เคยอัตคัดขัดสนมีแต่เพิ่มขึ้นๆ ดั่งคำพูดที่ออกมาจากปากของท่านว่า “การให้ไม่มีอด ไม่มีหมด ไม่มีจน ตลอดกาล”เมื่อท่านมาอยู่วัดปากน้ำฯ ท่านก็ไม่ได้หยุดการสร้างบารมี ท่านสร้างบารมีด้วยการถวายภัตตาหารพระสงฆ์-สามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม และเริ่มการสอนปริยัติพร้อมกับสอนปฏิบัติควบคู่กันมา หลวงพ่อ...ท่านจะส่งเสริมให้ภิกษุ-สามเณรเรียน ท่านมักกล่าวว่า...อยู่ในวัยเรียนต้องเรียน อยู่ในวัยเฒ่าชราต้องปฏิบัติธรรม หรือว่าอยู่ในวัยเรียนจะเล่าเรียนด้วยปฏิบัติธรรมด้วยยิ่งดี ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง จะอยู่เฉยๆไม่ได้ เป็นพระต้องสนใจในปริยัติ ปฏิบัติ คือ ต้องเรียนด้วย ต้องปฏิบัติด้วยนี่เป็นความคิดอันแน่แน่วเด็ดเดี่ยวของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ เพราะทุกคนที่เข้ามาอยู่นี่ อยู่ตามที่นักสร้างบารมีทั้งหลายกล่าวว่า “ใครไม่มา ขอให้มา เมื่อมาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข” หลวงพ่อ...ท่านไม่ได้เลือกว่าจะมาจากไหนหรือทิศไหน ทั้งจตุรทิศ หรือทิศทั้งแปด มาจากไหนท่านรับหมด ทำให้เมื่อลุเข้าปี พ.ศ.2499 ถึง พ.ศ.2500 วัดปากน้ำภาษีเจริญจึงมี ภิกษุสาม-เณรมากขึ้น เป็นจำนวนถึง 600รูป ซึ่งในสมัยนั้น ไม่มีวัดไหนในประเทศที่จะมีภิกษุ-สามเณรเท่าวัดปากน้ำฯ ไม่ว่าวัดใหญ่ๆในกรุงเทพมหานคร ก็ยังไม่มีจำนวนพระภิกษุ-สามเณรเท่าวัดปากน้ำฯเหมือนอย่างสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ เจ้าคุณราชภาวนาวิสุทธิ์ ก็เรียกว่าเป็นลูกศิษย์ ที่เรียกว่า เจริญงอกงามเข้าภาษิตที่เรียกว่า “โลกจะเจริญก็เพราะว่า ลูกศิษย์ลูกหานั้นเจริญเป็นอภิชาตบุตร ตระกูลจะมั่งคั่งเพราะว่าอภิชาตบุตร” ถ้ามีบุตรเป็นอวชาตบุตร ไม่สืบสานไม่สืบต่อของบรรพชน คือ พ่อแม่ โลกก็ไม่เจริญเพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้ ผมไม่ได้กล่าวยกย่องแต่เป็นเช่นนั้น ท่านเจ้าคุณราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นผู้เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเช่นเดียวกัน และภิกษุ-สามเณรก็อยู่เป็นจำนวนมากมาย เรียกว่าเป็นอภิชาตบุตร คือ ลูกที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นตามรอยของบรรพบุรุษเมื่อหลวงพ่อเริ่มมีความอาพาธ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่คงเส้นคงวา ถือการปฏิบัติธรรมเป็นเวลา การรับแขกเป็นเวลา ไม่แสดงถึงความอ่อนแอ หรือความย่อท้อแต่ประการใดในยุคนั้น...ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ ถึงภัตตาหารจะไม่อุดมสมบรูณ์ แต่ก็ไม่ขาดแคลน ถือว่าไม่อัตคัดขัดสน ที่มีคำกล่าวขานอยู่เสมอว่า “วัดปากน้ำฯมีจีนแดงบุกทุกวัน” ก็หมายถึงเต้าหู้ยี้แดง แล้วก็มีมะละกอ ใช้ได้ทั้งราก-ทั้งต้น-ทั้งผลของมัน เอามาแช่น้ำเกลือ ฉันกับข้าวต้มได้ผมมาอยู่ใหม่ๆ ลงฉันข้าวต้มเช้าในโรงครัว ภายในโรงครัวนั้นมองไม่เห็นชัดนัก แต่ก็สว่างแล้ว เห็นลูกกลมๆ ผมก็นึกว่าไข่พะโล้ ตักซะหมดลูก พวกเพื่อนๆก็มองหน้า เขาคงนึกว่ามาใหม่จึงไม่รู้เรื่องอะไร พอผมตักเข้าไปคำหนึ่ง โอ...เปรี้ยวมาก จะทิ้งก็ไม่ได้ จึงกล้ำกลืนกินเข้าไปหมดลูก จึงได้รู้ว่าเป็นมะนาวดอง แล้วก็เห็นแม่ครัวตั้งน้ำขาวๆ ผมก็นึกว่า โอ้...วัดปากน้ำฯนี่รวย ได้กินนมสดทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่อะไรหรอก เมื่อดื่มเข้าไปจึงทราบว่านั่นคือ น้ำข้าว สมัยนั้นยังหุงข้าวด้วยการริน ด้วยการดง แม่ครัวจึงนำน้ำข้าวที่ได้จากดงนั้นมาให้พระ-เณรได้ฉันนี่เรียกว่า ชีวิตในยุคนั้นเราอยู่กันสบาย ด้วยเพราะหลวงพ่อ...ท่านเลี้ยงพระ-เณรและผู้ปฏิบัติธรรมมาตลอด ตราบเท่าจนกระทั่งมาวันหนึ่ง พวกสามเณรปฏิวัติ แอบไปโค่นต้นมะละกอหมดทั้งลานหน้าวัด แทนที่หลวงพ่อจะฉุนเฉียว กลับหัวเราะชอบใจว่า “เออ...ดี มันจะได้หมดยุคหมดสมัยมะละกอไปซะทีหนึ่ง” ส่วนเต้าหู้ยี้แดงนั้น ก็ยังดำเนินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งพ้น พ.ศ.2500 มาแล้ว ก็เริ่มดีขึ้นๆมาตามลำดับ ตราบเท่าจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ด้วยเพราะความเมตตาของหลวงพ่อ ที่มีต่อสามเณรเช่นผม จึงทำให้ในปัจจุบันนี้ ผมได้มีโอกาสมาสร้างงานและเผยแผ่งานพระศาสนา คุณธรรมและคุณวิเศษของหลวงพ่อ...ท่านมีมาก ใครได้ใกล้ชิดกับท่านนั้นต่างรับทราบโดยทั่วกัน ในคราวหน้า ผมจะมาเล่าในคุณธรรมและคุณวิเศษของท่าน ที่ผมเองได้พบได้เจอและที่ได้ยินได้ฟังมาท้ายนี้ ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย และอานุภาพของธรรมกายของหลวงพ่อ ขอให้ท่านเจ้าคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระศาสนายิ่งๆขึ้นไปพระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะภาค7
http://goo.gl/PJ3Ri