เล่าเรื่องพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯโดย พระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะภาค 7เรียบเรียงจาก คำบอกเล่าของพระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์พระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะภาค7 รองแม่กองบาลี กรรมการมหาเถรสมาคม พระอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดปากน้ำภาษีเจริญ และพระอาจารย์ใหญ่ของคุณครูไม่ใหญ่ ท่านเป็นผู้ที่อยู่ในยุคสมัยของ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายเรื่องราวความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย ที่ได้ถูกถ่ายทอดถึงรุ่นต่อรุ่นจากผู้ใกล้ชิดพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เมื่อครั้งอดีตนั้นมีมากมาย ดังเช่นเรื่องราวที่พระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ ได้เมตตาถ่ายทอดให้ฟังต่อไปนี้ ท่านได้ประสบกับอานุภาพอันไม่มีประมาณของวิชชาธรรมกาย ด้วยตัวท่านเอง...สมเด็จพระสังฆราช* (สมเด็จป๋า) หลานชายของหลวงพ่อ จะว่าท่านไม่เชื่อก็ไม่เชิง แต่ท่านเป็นผู้ที่ชอบพิสูจน์ความจริง ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อ...ท่านสั่งว่า “เดี๋ยวพระธรรมดิลกจะมา ปู่เสื่อไว้ให้หน่อย” ก็มีพระไปเล่าให้สมเด็จป๋าฟัง ท่านก็สงสัยว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้ส่งข่าวมาบอกก่อนว่า ท่านจะมาจากวัดโพธิ์ จะมากราบหลวงพ่อตอนที่มีคนสร้างกุฏิหลังหนึ่ง ก็ไม่กี่สตางค์ กว้างสี่ศอก ยาวหกศอก ต่อมาก็มีคนไปถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อ...วันนี้จะมีคนมาสร้างกุฏิไหม” หลวงพ่อนั่งสงบนิ่ง ก่อนที่จะตอบว่า “มี” ปรากฏว่า พอให้พร...ยถา-สัพพีฯเสร็จ ก็มีโยม 3คนมาปวารณาจะขอสร้างกุฏิคนละหลังสมเด็จป๋าแอบไปคุยกับ 3คนนั้น ถามว่า “โยมแอบไปคุยตกลงกับหลวงพ่อไว้ก่อนหรือเปล่า”โยมตอบว่า “เปล่า เกิดศรัทธาขึ้นมาปัจจุบัน อยากจะทำ”หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า “พระธรรมดิลกจะได้เป็นใหญ่ในพระสงฆ์...” สมเด็จป๋าก็ไม่เชื่อ ต่อมาเมื่อได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว สมเด็จป๋าได้มากราบร่างของหลวงพ่อ และได้กล่าวให้พระสงฆ์และทายก ทายิกาได้ทราบว่า...ที่ผ่านมาท่านไม่ได้จับผิด แต่เพื่อพิสูจน์ความจริง...และได้เล่าเรื่องที่ได้ไปสอบถามผู้ที่มาสร้างกุฏิถวาย และเรื่องที่หลวงพ่อพยากรณ์ว่า จะได้เป็นสังฆราช และกล่าวว่า ท่านขอยอมรับในความจริงที่หลวงพ่อปฏิบัติจริง...ทำได้จริงในปี พ.ศ.2527 เรื่องนี้ผมได้กับตัวเอง ผมไปเทศน์ถวายในหลวง วันวิสาขบูชา ตอนนั้นเข้าวังใหม่ๆ เขาก็ว่า “อยู่ต่อหน้าเจ้า จะกระดิกตัวพลิกตัวอะไรไม่ได้” ผมนั่งนิ่งจนกระทั่งขาชาไปข้างหนึ่ง ก็คิดว่า “เอ...จะทำอย่างไร จะพลิกก็พลิกไม่ได้” ก็นึกถึงบารมีของหลวงพ่อ ภาวานา “สัมมา อะระหัง” ในใจก็นึกภาวนาขอบารมีธรรมของหลวงพ่อ ช่วยดลบันดาลให้หายชาด้วย เชื่อไหมว่า ขาที่ชาก็หาย...ตั้งแต่นั้นมาผมก็ขอบารมีของหลวงพ่อมาเรื่อยในเรื่องการเทศน์ ตอนแรก ผมนึกไม่ออกหรอกว่าจะเทศน์อย่างไร เทศน์ธรรมะของหลวงพ่อก็ดี เทศน์อะไรก็แล้วแต่ มองไม่เห็นอรรถ ไม่เห็นนัยเลยว่าจะออกแนวไหน ก่อนขึ้นธรรมาสน์ ผมก็ขอพุทธบารมี พุทธานุภาพ และขอสังฆานุภาพ คือ หลวงพ่อ “ช่วยดลบันดาลให้ลูกเข้าใจธรรมะจะแจ้งด้วยเถิด” พอขึ้นธรรมาสน์ไปแล้วไม่รู้ว่าผมเทศน์ได้อย่างไร ไม่ใช่นอกเรื่องนอกราวนะ มันไปในเรื่องในราวธรรมะของหลวงพ่อที่เทศน์ไว้หลายสิบกัณฑ์ ผมไปอ่าน 10เที่ยวยังไม่เข้าใจ ก็นึกในใจปรึกษาตัวเองว่า จะเอาไปเทศน์ได้อย่างไร ผมก็จะขอพุทธานุภาพ สังฆานุภาพ “ช่วยดลบันดาลให้ลูกมีปัญญา แทงทะลุปรุโปร่งในเทศนานี้” แล้วผมก็เทศน์ได้เมื่อเร็วๆนี้ ผมไปเป็นประธานเททองหล่อพระ เมื่อวันอาสาฬหบูชา ตอนที่ผมไปพระกำลังสวดธรรมจักรฯ เมฆบนฟ้าครึ้มมืดไปหมด ผมนึกว่า ถึงอย่างไรวันนี้พระต้องได้เปียกปอนกันน่าดู...ต่อมาลมก็เริ่มพัดมา เมฆลอยมาจากที่ไกลก็มารวมกันอยู่ ผมก็ขอบารมีธรรมของหลวงพ่อช่วยปัดเป่าให้ฝนฟ้าอย่าได้ตกต้องตรงนี้เลย ปรากกฎว่า ลมกรรโชกฮือเดียว เมฆกระจายออกไปหมดทุกถ้อยคำที่ได้รับฟังจากพระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ ล้วนทรงคุณค่าประมาณมิได้ แต่นี่ยังเป็นเศษเสี้ยวในอานุภาพและบารมีธรรมของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ความดีของท่านนั้นยากยิ่งที่จะบรรยายหรือพรรณนาได้หมด ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสมเป็นมหาปูชนียาจารย์ เป็นบุคคลต้นแบบแห่งความดีที่โลกต้องสรรเสริญ และกล่าวขานตลอดไป*********************สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร)สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
หมายเหตุ พ.ศ.2491 เป็นสังฆมนตรีสมัยที่1 เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการสังมาณัติระเบียบพระคุณาธิการ และได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมดิลก
http://goo.gl/CrLN4