โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒเรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMCดอกไม้เหล็กในปัจจุบันนี้ ผู้หญิง ได้รับความสนใจมากขึ้น และมีบทบาทในการบริหารประเทศชาติรวมถึงในระดับโลกด้วย จะเห็นได้ว่าผู้หญิงในยุคนี้มีบทบาททางสังคมมากขึ้น และมีส่วนในการสร้างสรรค์สังคมได้ไม่น้อยไปกว่าผู้ชายเลยในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้น สตรีมีบทบาทอย่างไรและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
ต้องบอกว่า สตรี นั้นเป็นผู้ขับเคลื่อนโลกอย่างแท้จริง ผู้หญิงดูเหมือนอ่อนแอผู้ชายดูเหมือนเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วผู้ชายแข็งแต่เปราะ ผู้หญิงอ่อนแต่เหนียว บทบาทของผู้หญิงและผู้ชายก็จะเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตของแต่ละคนในยุคสมัยนั้นๆอย่างในยุคสังคมการเกษตร การทำงานมันต้องใช้แรงมาก ก็แน่นอนว่าโดยสรีระแล้วต้องเป็นผู้ชายที่แข็งแรงกว่า และในยุคการเกษตรนั้น คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญมาก ทุกที่อยากได้กำลังคน ประชากรโลกก็มีน้อย จึงต้องการให้มีการออกลูกออกหลานมากๆ ไม่มีการคุมกำเนิดเพราะคุมกำเนิดไม่เป็นในยุคนั้น ระบบการศึกษาก็ไม่ซับซ้อนเพราะการทำการเกษตรไม่ต้องการความรู้อะไรมาก แค่ลงมือทำก็ทำได้แล้ว บางทีคนก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แค่อ่านออกเขียนได้ก็ถือว่าดีมากแล้วคนในยุคนั้นถ้ามีลูกถือว่าไม่ลำบาก เพราะเมื่อลูกโตก็ใช้งานได้ การมีลูกยิ่งมากก็ยิ่งดีไม่ถือว่าเป็นภาระเลย และผู้หญิงในยุคนั้นหน้าที่หลักก็คือดูแลบ้านและเลี้ยงลูก ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง สังคมในยุคนั้นบทบาทจึงอยู่ที่ผู้ชายเป็นหลัก เพราะต้องใช้กำลังและผู้ชายก็มีกำลังมากกว่าพอมาถึงสังคมอุตสาหกรรม รูปแบบก็เริ่มปรับเปลี่ยน เช่น คนงานเย็บผ้า จะเห็นว่าผู้หญิงนั้นทนกว่า ฉะนั้นเวทีของผู้หญิงก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ทำให้ผู้หญิงก็มีรายได้ไม่แพ้ผู้ชาย การศึกษาก็เริ่มจำเป็น ยิ่งเมื่อเข้ามาสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร จะเห็นว่าในมหาวิทยาลัยต่างๆ มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเสียอีก เพราะผู้หญิงไม่ค่อยเกเร ผู้ชายมัวแต่ไปเที่ยว ฉะนั้นจึงกลายเป็นว่าผู้หญิงมีความรู้ความสามารถ มีฝีมือทำงานได้ไม่แพ้กันเท่าไหร่ จึงมีคำๆ หนึ่งที่รู้จักกันดีคือว่า อิตถี สัตโธ อิตถี แปลว่า หญิง สัตโธ แปลว่าเสียง อิตถี สัตโธ คือ เสียงของหญิงนั้นดังเสมอ ผู้หญิงชอบอะไรแล้วผู้ชายจะปรับตัวตาม เป็นตัวกำหนดนำของสังคมเลยเมื่อผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นแล้ว ผู้ชายต้องมีการปรับบทบาทอย่างไรบ้าง?
ก็มีการปรับโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และว่ากันไปตามบทบาท ไม่ต้องดูที่อื่นไกลเลย ที่ผ่านมาเมืองไทยเรามีนายกเป็นผู้ชายมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันมีนายกเป็นผู้หญิง สังคมไทยก็ยังรับได้ คะแนนนิยมก็ดีมาก แต่ทำไมผู้บริหารระดับสูงในวงการต่างๆ เทียบแล้วมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเยอะ และส่วนใหญ่ในโลกก็เป็นอย่างนี้ด้วย เรื่องจริงตรงนี้ผู้หญิงก็อย่าน้อยใจ เพราะมันเกี่ยวกับสรีระด้วย เพราะผู้หญิงจะมีวงจรรอบที่ฮอร์โมนทำงานเป็นรอบเดือนๆ อารมณ์จะไม่ค่อยคงที่ ฉะนั้นการควบคุมอารมณ์โดยเฉลี่ยบางทีผู้หญิงจะน้อยกว่าผู้ชายนิดหนึ่ง ตรงนี้ทำให้การเป็นใหญ่ของสตรีนั้นลำบากหน่อย แต่นั่นก็คือโดยเกณฑ์เฉลี่ยทั่วๆ ไป แน่นอนย่อมต้องมีซุปเปอร์วูแมนพิเศษ ที่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ได้ไม่แพ้ผู้ชาย เผลอๆ ดีกว่าด้วย และผู้หญิงนั้นมีความสุขุมรอบคอบอ่อนโยนอีก ถ้าใช้ดีๆ แล้วก็จะยิ่งเป็นบวก ฉะนั้นจะเห็นว่านายก หรือผู้นำที่เป็นผู้หญิงนั้นหลายคนก็ทำได้ดี ข้อจำกัดทางสรีระเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สำคัญที่สุดคือใจของเราเอง ไม่ต้องไปเรียกร้องสิทธิที่ไหนหรอก ฝึกตัวเองให้ดีเถิด อย่าว่าแต่เท่าเทียมผู้ชายเลย เป็นผู้นำของผู้ชายก็ทำได้ สตรีสามารถทำได้ถ้าตั้งใจจริงเมื่อผู้หญิงขึ้นมาบริหารประเทศแล้วควรยึดหลักการอย่างไร เพื่อพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสม?
รูปแบบของการบริหารในปัจจุบันมันก็มีการเปลี่ยนจากอดีตพอสมควร คือยุคในอดีตนั้นเป็นลักษณะเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย คือผู้นำว่าอย่างไรทุกคนก็ว่าตามกัน แต่ในยุคปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมาเร็วมาก ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเยอะแยะมากมายได้อย่างรวดเร็ว รูปแบบการนำจึงเปลี่ยนไป คือ คนที่เป็นผู้นำจะต้องเป็นคนที่รู้จักฟังความเห็นทุกคน แล้วสามารถประมวลสรุปตัดสินต่างๆ ได้เมื่อผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศจริงๆ แล้วผู้หญิงนั้นมีความอดทนสูงกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว ฉะนั้นงานที่ยืดเยื้อและอึดนั้นผู้หญิงจะทำได้ดีกว่าผู้ชาย ถ้ารักษาความนิ่งได้แล้วผู้หญิงนั้นไม่ธรรมดาเลยในสมัยพุทธกาลนั้น สตรีมีบทบาทอย่างไรบ้างต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้?
ต้องบอกว่าตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนี้ สตรีนั้นเป็นพลังสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา และความจริงคือของทุกศาสนาในโลกเลย เพราะผู้ชายมัวแต่ไปเที่ยวเตร่ ลองไปดูทุกวัดมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น 70-80 % ที่เข้าวัด จะเห็นว่าผู้หญิงมีศรัทธาดีกว่าผู้ชาย และเป็นกำลังสำคัญในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาตลอดมา ตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ฉะนั้นสตรีจึงมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งจริงๆ แล้วเราไม่ได้มีการปิดกั้นเลย พระพุทธศาสนาถือว่าเปิดกว้างมาก ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าอนุญาตให้มีภิกษุณีได้ ถือเป็นการปฏิวัติสังคมอินเดียเลย เพราะในยุคนั้นผู้หญิงมีสถานภาพที่ต่ำกว่าผู้ชายมาก แต่พระพุทธเจ้าให้โอกาสในการบวช เพียงแต่พระองค์ให้กติกากำกับเอาไว้ว่าถ้าผู้หญิงจะบวชนั้นต้องบวชในสงฆ์ 2 ฝ่าย คือบวชในภิกษุสงฆ์ด้วยและภิกษุณีสงฆ์ด้วย ซึ่งเป็นข้อบัญญัติของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถแก้ได้ พอมาในยุคหนึ่งแล้วภิกษุณีสงฆ์ในฝ่ายเถระวาทก็หมดไป เหมือนไม่มีแม่แล้วจะเกิดลูกขึ้นได้อย่างไร จึงไม่สามารถมีภิกษุณีได้อีกเท่านั้นเอง เป็นตามพระบัญญัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าการบวชภิกษุณีต้องบวชในสงฆ์ 2 ฝ่ายบางท่านก็เห็นแถวลังกาเขามีบวชกัน อันนั้นคือไปบวชมาจากทางจีน มาจากไต้หวัน บางคนอาจคิดว่าภิกษุณีไต้หวันเองก็สืบทอดมาจากทางด้านศรีลังกาแต่เดิมมาเหมือนกัน ลองนึกดูว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าต้องบวชจากสงฆ์ 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์ด้วยและภิกษุณีสงฆ์ด้วย ถึงจะบวชภิกษุณีได้ สมมุติว่ามีภิกษุณีจากลังกาไปเผยแผ่ที่ไต้หวัน และมีคนไต้หวันมาบวชด้วย เสร็จเรียบร้อยแล้วต่อมาก็เป็นพระจีนกันหมด เป็นมหายาน ฝ่ายเถรวาทในไต้หวันและประเทศจีนไม่มี ฉะนั้นภิกษุก็เป็นมหายานหมด ถ้าภิกษุณีไปบวชกับพระภิกษุผลออกมาจะเป็นอย่างไร ก็อาจจะออกมาเป็นภิกษุณีมหายานครึ่งหนึ่ง เถรวาทครึ่งหนึ่ง ต่อมาไปบวชกับพระมหายาน มันก็ไม่ใช่เถรวาทแล้ว ต้องดูที่ว่าพระวินัยของทั้งมหายานและเถรวาทเองก็ไม่เท่ากัน เมื่อเห็นว่าพระวินัยไม่เท่ากัน ดังนั้นภิกษุณีในจีนก็คือเป็นภิกษุณีของมหายานนั่นเอง นี่คือข้อจำกัดตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีใครกล้าแก้จริงๆ ฝ่ายหญิงที่อยากเผยแผ่ธรรมะนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ญาติโยมที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมนั้นทั้งหญิงและชายได้เหมือนกันหมด ใครที่ต้องการปฏิบัติจริงๆ นั้นก็สามารถอยู่ช่วยงานพระศาสนาต่างๆ และปฏิบัติธรรมได้ ไม่ต้องดูอื่นไกล คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย เป็นอาจารย์ของพระทั้งหมดเลย ท่านก็เป็นอุบาสิกา เป็นแม่ชี เป็นศิษย์เอกของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ทุกคนก็ให้ความเคารพรักนับถือท่าน ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย แม้กระทั่งพระภิกษุยังให้ความเคารพคุณยายเลย ญาติโยมทั้งหลายต่างก็ให้ความเคารพท่าน มันอยู่ที่คุณธรรมภายในต่างหากดังนั้น การปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรม ไม่ได้มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นภิกษุณีเท่านั้นถึงจะปฏิบัติได้ จะเป็นแม่ชีก็ทำได้ หรือแม้จะเป็นแม่ชีที่ไม่ได้ปลงผมแต่รักษาศีล 8 ก็ถือว่าเป็นอุบาสิกาก็สามารถปฏิบัติธรรมได้เหมือนกัน อันนี้ไม่มีข้อจำกัดอะไรแต่ละเพศแต่ละภาวะ มีจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เพศหญิงอาจจะมีจุดอ่อนโดยอาจมีอารมณ์หวือหวากว่านิดหนึ่ง แต่ก็มีจุดแข็งที่ว่าโดยเพศภาวะทำให้ต้องสำรวมระวังตัวเองมากกว่าผู้ชาย ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นคนดี ตั้งใจเล่าเรียน เขียนอ่าน เข้าวัดเข้าวาได้มากกว่า ให้รักษาจุดแข็งนี้เอาไว้ อย่าไปเห่อว่าผู้ชายทำอะไรได้เราต้องทำได้บ้าง อย่าไปแข่งกันทำในเรื่องที่ไม่ดี แต่ให้รักษาคุณสมบัติความเป็นกุลสตรีของเราเอาไว้ให้ดีเถิด จะเป็นสิ่งเสริมค่าของตัวเอง วางตัวให้ดี หนักแน่นในธรรม มีคุณค่าในตัว ใครเข้าใกล้ก็จะเกรงใจ และทำหน้าที่ของเราเองให้สมบูรณ์ที่สุด ให้ภูมิใจว่าเราคือผู้ขับเคลื่อนสังคมที่แท้จริง
http://goo.gl/pWjoq