หลวงพ่อตอบปัญหาโดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCคำถาม: หลวงพ่อคะ ทำอย่างไรดิฉันจึงจะเลิกนิสัยอิจฉาชาวบ้านได้คะ?
คำตอบ: ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่า การที่คุณเป็นคนขี้อิจฉาริษยาชาวบ้านนั้น เป็นเพราะคุณเป็นรองเขาเรื่อยมา เหตุลึกๆ ที่ทำให้คุณเป็นคนต่ำต้อย น้อยหน้าเป็นรองคนอื่น เพราะคุณมีบุญเก่าติดตัวมาน้อย อยากจะรวยก็รวยไม่ได้ เพราะให้ทานมาน้อย อยากฉลาดก็ฉลาดสู้เขาไม่ได้ เพราะทำภาวนามาน้อย อยากจะเกิดในชาติตระกูลสูงก็ไม่ได้ เพราะไม่เคยเคารพกราบไหว้ผู้มีคุณธรรมมาก่อนเมื่อเป็นรองเขาเรื่อยมา แทนที่จะได้คิดว่าเป็นรองเขา เพราะสร้างบุญมาน้อย กลับปล่อยให้โมหะความหลงผิดเข้าครอบงำจิตใจ ไปอิจฉาริษยาเขาอีก เลยหาความสุขไม่ได้ ยังดีที่คิดอยากเลิกนิสัยขึ้นอิจฉาอิจฉาริษยาคนที่จะเลิกอิจฉาริษยาชาวบ้านได้ ต้องรู้จักพิจารณาให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ความอิจฉาริษยาทำให้เกิดความเสียหายแก่เราอย่างไรบ้าง โทษของความอิจฉาริษยามีหลายอย่าง ตั้งแต่ทำให้วาสนาของตัวเองตกต่ำ มิหนำซ้ำยังไม่มีกำลังใจที่จะทำความดีต่อไปอีก แม้จะเกิดไปกี่ภพกี่ชาติเบื้องหน้าก็จะเป็นคนที่มีอานุภาพน้อย จะต้องเป็นรองคนอื่นเขาอยู่ร่ำไป แม้ได้เกิดเป็นกษัตริย์ก็ต้องเป็นกษัตริย์ของประเทศที่เป็นอาณานิคมของประเทศอื่น ฉะนั้น ถ้าต้องการแก้ไขนิสัยไม่ดีดังกล่าว จึงต้องทำดังนี้1. ทุกครั้งที่รู้ตัวว่าเรากำลังมีจิตคิดอิจฉาริษยาใครก็ตาม ต้องรีบเตือนสติตัวเอง ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณความดีในตัวเรามีน้อยมีบุญน้อยจึงได้น้อยหน้าไม่เท่าเทียมเขา เป็นความผิดของเราเองที่ภพในอดีตไม่ชอบสร้างบุญกุศล ไม่ใช่ความผิดของคนอื่น เพราะฉะนั้นจะต้องรีบเร่งสะสมความดี สร้างบุญกุศลให้มากๆ2. หมั่นฝึกสมาธิให้มากๆ เป็นประจำ แม้จะได้ผลช้ากว่าคนอื่นก็เพียรพยายามเรื่อยไป เมื่อใจผ่องใสละเอียดอ่อนขึ้น ก็จะเห็นช่องทางในการทำความดี แล้วตั้งใจทำความดีอย่างสุดกำลังความสามารถด้วยความไม่ประมาท บุญของเราก็จะสมสมมากขึ้นๆในที่สุดก็เป็นคนดีที่มีความดีอยู่ในตัวมาก จนไม่จำเป็นต้องอิจฉาริษยาใครอีกต่อไป แต่แน่นอนว่ากว่าจะทำให้นิสัยขี้อิจฉาริษยานี้หมดไปต้องใช้เวลานานมาก ฉะนั้นขณะกำลังฝึกตัวก็ควรได้กัลยาณมิตร เช่นครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ เพื่อนที่นิสัยดีๆ ฯลฯ เป็นพี่เลี้ยงช่วยเตือนสติให้ก็จะดียิ่งขึ้น ถ้ากำจัดความริษยาให้สิ้นไปจากใจได้เมื่อไร ก็จะพบความสงบสุขเมื่อนั้นคำถาม: หลวงพ่อครับในบรรดาอบายมุขทุกอย่าง อะไรที่ถือว่าเลวที่สุดครับ?
คำตอบ: การคบเพื่อนชั่ว ซิลูกเอ๊ย... เป็นอบายมุขข้อที่เลวที่สุด เพราะนำความฉิบหายมาให้มากกว่าอย่างอื่น เป็นต้นเหตุให้อบายมุขข้ออื่นๆ ติดตามมา ลองสังเกตดูนะว่านิสัยไม่ดีต่างๆ ที่คนเรามีอยู่ในแต่ละคนนั้นได้มาจากไหน ไม่ว่าเรื่องกินเหล้าเมายา เรื่องเที่ยวกลางคืน การพนัน ตลอดจนเรื่องเสียหายต่างๆ ถามว่า...คุณพ่อเคยสนับสนุนให้เรากินเหล้า สูบบุหรี่ไหม ตอบว่า ไม่เคย คุณแม่เคยสอนให้เล่นไพ่ ให้คิดโกงไหม...ก็ไม่เคย ครูบาอาจารย์เคยสอนให้เราเที่ยวกลางคืน หรือเที่ยวด่าใครต่อใครไหม ก็ตอบว่า ไม่เคยถ้าอย่างนั้นได้มาจากไหน ตอบว่าได้มาจากเพื่อน ได้มาจากคนนี้นิดคนนั้นหน่อย ครั้นเราติดเชื้อเลวๆ เหล่านี้มา เราก็นำความรู้ความสามารถของเราที่ร่ำเรียนมาไปใช้กับความคิดเลวๆ เราเลยยิ่งเลวกว่าเพื่อนที่ชักจูงเราเสียอีกเพราะฉะนั้น บันไดขั้นแรกของความสำเร็จในชีวิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า คือ การไม่คบคนพาล หรือไม่คบคนเลว “อเสวนา จ พาลานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” การไม่คบคนพาลเป็นมงคลอันอุดม นี่มงคลที่ 1 เลยนะลูกนะคบคนพาล พาลพาไปหาผิดถ้าใครไม่เชื่อพระองค์ ยังขืนคบคนพาลอยู่ ถึงแม้บุคคลนั้นจะมีความรู้จนจบปริญญา จบการศึกษาสูงแค่ไหน มีความสามารถยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม เขาจะไม่มีความสำเร็จในชีวิตเลย ทั้งยังจะประสบความพินาศในที่สุดด้วย เขาจะต้องเสียใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้าโทษของการคบคนชั่วเป็นมิตรมี 6 ประการ คือ1. ทำให้เป็นนักเลงพนัน2. ทำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้3. ทำให้ลวงผู้อื่นด้วยของปลอม4. ทำให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า5. ทำให้เป็นนักเลงหัวไม้6. ทำให้เป็นนักเลงเหล้าเพราะฉะนั้น หวังว่าพวกเราคงเลือกคบแต่เพื่อนดีๆ นะคำถาม: เพื่อนมาบอกว่า มีคนเขาว่าเราลับหลังในทางที่ไม่สู้ดี ควรทำใจอย่างไร ไม่ให้เราไปต่อว่าคนที่ว่าเรา ควรนึกถึงอะไรเจ้าคะ?
คำตอบ: หนูเอ๊ย..นินทากาเลเหมือนเทน้ำ คงไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน เรื่องนินทากันนี้เป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็เราเองบางทียังนินทาชาวบ้านเลย ระวังคำพูดของเราก็แล้วกัน เวลาเขาเอาเรื่องคนโน้นคนนี้ที่ว่าเรามาฟ้อง จริงไม่จริงยังไม่รู้เลย เขาอาจจะฟังมาผิดๆ ก็ได้ พอเราพูดผางกลับไปด้วยความโกรธ เขาก็เลยเอาคำพูดที่เราพูด ไปบอกคนโน้น คราวนี้ละ เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะเราพูดจริง พูดหยาบกว่าด้วย เพราะเราโกรธ ทางโน้นเลยแล่นมาซัดเราเข้าให้ กลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โตเลยทีนี้อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำเพราะฉะนั้น อย่าไปถือสาอะไรกับลมปาก ที่เราพูดกันนี่ มันลมนะ โกรธไปก็แค่โกรธลมโกรธแล้งแค่นั้น ทำหูทวนลมเสียบ้าง หรือหัดทำใจให้หนักแน่นเหมือนขุนเขาเสียบ้าง เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า“เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน ณ สมีรติเอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมฺมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา.”“ภูเขาศิลาล้วน เป็นแท่งเดียว ย่อมไม่สะเทือนด้วยแรงลมฉันใดบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่เอนเอียงในเพราะนินทาและสรรเสริญฉันนั้น”
http://goo.gl/SUUEZ