ด้วยความที่พระรัตนเถระ หรืออดีตพระเจ้าปภาวันตจักรพรรดิราช ทรงมีวิริยะอุตสาหะในการบำเพ็ญทานเป็นอย่างยิ่งนี้เอง จึงทำให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่นั่งประชุมกันอยู่ในธรรมสภา ต่างก็เกิดความคิดคำนึงขึ้นมาคล้ายๆกันว่า “พระรัตนเถระผู้มีวิริยะอุตสาหะในการบำเพ็ญทานรูปนี้ ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ท่านจักได้ไปบังเกิดเป็นเทวดา หรือเป็นท้าวสักกเทวราช หรือเป็นท้าวมหาพรหม หรือว่าท่านจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันแน่หนอ”
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความคิดของเหล่าภิกษุทั้งหลาย ที่นั่งประชุมรวมกันอยู่ ณ ธรรมสภาแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงไขข้อสงสัยเหล่านั้น ด้วยการประทานพุทธพยากรณ์ให้แก่พระรัตนเถระ ท่ามกลางเหล่าพระภิกษุสงฆ์สาวกทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระรัตนเถระรูปนี้จักเป็นผู้รู้พุทธวิชาในอีก 16-อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปนับจากนี้ โดยท่านจักได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าซึ่งมีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า”
พร้อมกันนั้น พระบรมศาสดาทรงได้ตรัสบอกถึง พระนามของพุทธบิดา พุทธมารดา สถานที่กระทำความเพียร โพธิบัลลังก์ พระอัครสาวกซ้าย-ขวา พระอัครสาวิกาซ้าย-ขวา และพุทธอุปัฏฐากของว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
ภายหลังจากที่พระรัตนเถระได้รับปฐมพุทธพยากรณ์จากพระมหุตตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระรัตนเถระหรือพระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงเกิดความปลื้มปีติปราโมทย์ใจแบบสุดๆ ที่พระบรมศาสดาทรงเปล่งวาจาซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันผังแห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับตัวท่าน และนับตั้งแต่วันนั้นพระรัตนเถระหรือพระบรมโพธิสัตว์ก็ยิ่งตั้งใจบำเพ็ญพระบารมีทั้งสิบทัศ ด้วยพระวิริยะอุตสาหะอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จนกระทั่งหมดอายุขัย ครั้นเมื่อถึงเวลาลงมาบังเกิดสร้างบารมีอีกในภพชาติต่อๆมา พระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงมุ่งมั่นและตั้งใจบำเพ็ญพระบารมีทั้งสิบทัศอย่างไม่ถอนถอย และทำอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันนับตั้งแต่ภพชาตินั้นเรื่อยมา ตลอดระยะเวลาแห่งการสร้างบารมีในช่วงสุดท้าย ซึ่งก็คือช่วง 16-อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัป
ส่วนพระชาติล่าสุดที่พระบรมโพธิสัตว์ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ ก็เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง นั่นก็คือ พระชาติที่พระองค์ทรงเกิดเป็น พระอชิตภิกษุ ในยุคสมัยของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราทุกคนนั่นเอง และถ้าให้นับเวลาถอยหลังนับจากวันนี้ ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งอสงไขยปีเศษที่พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นี้ จักได้มาบังเกิดเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้
ดังนั้น ใครก็ตามที่อยากจะเกิดมาพบกับพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า และอยากเกิดมาร่วมยุคสมัยเดียวกันกับพระพุทธองค์ บุคคลผู้นั้นก็ต้องสั่งสมบุญทุกๆบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา อย่างเต็มที่เต็มกำลังและทำอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เฉกเช่นเดียวกันกับพระบรมโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเมื่อไหร่ที่บุญของเราเต็มเปี่ยมและมีกำลังเพียงพอ ที่จะลงมาเกิดในยุคสมัยที่โลกมีแต่สิ่งอัศจรรย์และบุคคลอัศจรรย์ เมื่อนั้นความปรารถนาที่เราจะได้มาเจอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ซึ่งก็คือ พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเป็นจริงได้
************************