พระสงฆ์ 22 จังหวัดต้านกฤษฎีกาตีความประกาศ อย.เข้าข้าง บริษัทน้ำเมา

“หมอณรงค์” เผย ครม.ติงควบคุมเครื่องหมายการค้าและตราสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บังคับใช้เร็วเกินไป สธ.ยันไม่ปรับแก้แต่เพิ่มข้อเสนอแนะแนบท้ายส่งกฤษฎีกา ก่อนนำเข้า ครม.และ สนช.พิจารณา ด้าน “กรรมการ มส.” ผนึกเครือข่ายพระสงฆ์ฯ 22 จังหวัด ต้านกฤษฎีกาตีความห้ามโฆษณาเหล้าเข้าข้างบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อนุโมทนารัฐบาลเห็นแก่ชาติ เยาวชน เดินหน้าห้ามโฆษณาเหล้า 3 ธ.ค.นี้ เทศน์จะเลือกเป็นรัฐบาลโดยธรรม หรือรัฐบาลธรรมดา เพราะลาภ ยศ สรรเสริญ ขณะที่สภาทนายความแถลงเห็นด้วยกับกฤษฎีกา ระบุเป็นนโยบายที่ดีแต่ต้องทำให้รัดกุม มีหลักการและเหตุผล ความโปร่งใสเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน เชื่อนายกฯ ไม่ลงนามให้คำสั่งมีผล


นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอทั้งหมด เพียงแต่มีข้อเสนอบางประการของนายกรัฐมนตรี 2-3 ประเด็น โดยเฉพาะในหมวดการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในเรื่องการโฆษณา เช่น เครื่องหมายการค้าและตราสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีระยะเวลาในการบังคับใช้เร็วเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็ดี คงไม่มีการปรับแก้ใดๆ ในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว แต่จะนำข้อเสนอแนะต่างๆ แนบท้ายเพื่อเสนอให้กฤษฎีกาก่อนนำเข้าคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง จากนั้นจึงนำเข้าสู่ขั้นตอนการเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)


“ระยะเวลาในการบังคับใช้ที่ ครม.ติงมาเป็นการฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ซึ่งภาครัฐคงจะต้องฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะกรรมการกฤษฎีกานำมาพิจารณาหารือกัน” นพ.ณรงค์ กล่าว


นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของคำสั่งห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทบทวนใหม่นั้น คาดหวังว่ากฤษฎีกาจะพิจารณาอีกครั้งอย่างเร่งด่วนที่สุด ภายในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ เพราะเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้เลื่อนการบังคับใช้คำสั่ง อย.ออกไปจนกว่ากฤษฎีกาจะตีความทบทวนใหม่เสร็จ ซึ่งคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาถือเป็นเพียงคำแนะนำที่ให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตาม แต่การประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้นยังคงมีผลบังคับใช้เช่นเดิม


วันเดียวกันที่วัดยานนาวา พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา และตัวแทนเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนา 22 จังหวัด รวม 32 รูป ออกแถลงการณ์ “สนับสนุนมาตรการห้ามการโฆษณาเหล้าเบียร์ ทุกสื่อ ทุกรูปแบบตลอด 24 ชม.ของรัฐบาล” โดยแถลงการณ์ระบุว่า การแก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับว่ายากมาก เพราะสังคมไทยปล่อยปัญหานี้หมักหมมมานาน การแก้ไขต้องแก้ทั้งระบบ ซึ่งการห้ามการโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลนี้พยายามนำออกมาบังคับใช้ เพื่อป้องกันการถูกโฆษณาจูงใจ โดยที่เยาวชนยังขาดวุฒิภาวะ แต่มีการตีความกฎหมายว่ากฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถบังคับใช้ได้

แถลงการณ์ระบุอีกว่า ด้วยเหตุผลการตีความตามตัวอักษรทางกฎหมาย รวมทั้งข่าวที่ได้ทราบ ซึ่งข้อเท็จจริงอย่างไรไม่ทราบว่าอาจมีการวิ่งเต้นจากบริษัทธุรกิจเหล้าเบียร์เพื่อทำให้กฎหมายนี้ตกไป เนื่องจากธุรกิจการค้าน้ำเมามีมูลค่าถึงปีละ 1.87 แสนล้านบาทต่อปี การถูกห้ามการโฆษณาก็เปรียบเสมือนถูกตัดโอกาสขายสินค้า และขาดแรงจูงใจแก่คนที่ไม่ดื่ม เรื่องนี้นักการตลาดรู้ดี


“ขอให้รัฐบาลได้เห็นแก่ประโยชน์ของเยาวชน ให้ทบทวนผลของการตีความ โดยให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย มิใช่เฉพาะตามตัวอักษร ขอให้รัฐบาลได้เดินหน้านำกฎหมายห้ามโฆษณาออกมาบังคับใช้ให้ได้ตามกำหนด วันที่ 3 ธ .ค. นี้ และขอให้เร่งนำมาตรการอื่นๆ เช่น การขึ้นภาษี การจำกัดใบอนุญาตการขายไม่ให้ขายได้ทั่วไป การจำกัดสถานที่ดื่ม ซึ่งอยู่ใน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่รัฐบาลกำลังจะนำออกมาบังคับใช้ ขอสนับสนุนอนุโมทนาแก่รัฐบาล และผู้เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันทำให้สังคมไทยมีภูมิคุ้มกัน มีสติ ตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง และสร้างสังคมอยู่เย็นเป็นสุขบนฐานคุณธรรม อย่างแท้จริง”แถลงการณ์ระบุ


พระอาจารย์สมุทรวิเชียร จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การตีความการห้ามโฆษณาเหล้า ของคณะกรรมการกฤษฎีกา อาจทำให้คิดได้ว่า ผู้ประกอบการสุรามีอิทธิพลขนาดไหน เพราะคล้ายกับการตีความเป็นเรื่องการเข้าข้าง ถ้าผู้ตีความกฎหมายมีเจตนาบริสุทธิ์ มีความจริงใจ ต่อประชาชนและประเทศชาติ เชื่อว่าการตีความจะไม่เป็นเช่นนี้

พระอาจารย์สุบิน ปณีโต จ.ตราด กล่าวว่า การโฆษณาสิ่งเสพติด  ทำให้ประชาชนเกิดค่านิยมที่ผิด มาตรการห้ามโฆษณาเหล้า จึงเป็นงานที่หนัก แต่รัฐบาลต้องเดินหน้านโยบายนี้เพื่อแก้ปัญหาของประชาชน เพราะมาตรการห้ามโฆษณาเหล้า เป็นการเสริมพระพุทธศาสนา และเติมสุขให้กับสังคม หากรัฐบาลปฏิเสธ ก็เท่ากับเป็นรัฐบาลธรรมดา ที่ถูกยุติด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ใช่รัฐบาลโดยธรรม

นายเดชอุดม ไกรฤกษ์ นายกสภาทนายความ กล่าวเห็นด้วยกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า กฎหมายเกี่ยวกับการออกคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่ง ส่วนในการโอนมอบอำนาจของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ตามความในมาตราที่ 24 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ให้กับเลขาธิการ อย. ในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาสินค้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติจากการบริหารกฎหมายทั่วไป เพราะสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย หากมีความผิดพลาดอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ทาง สคบ. จะต้องรับผิดชอบ เนื่องจากมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงกับการมอบอำนาจดังกล่าว อีกทั้งการที่สำนักงานกฤษฎีกาเห็นว่า การห้ามโฆษณาของเลขาธิการ อย.ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ชัดแจ้งว่าไม่สามารถปฏิบัติได้ต่อไป จำเป็นต้องหยุดดำเนินการบังคับใช้มาตรการตามประกาศดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง

นายกสภาทนายความ กล่าวอีกว่า นโยบายที่จะห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทเป็นนโยบายที่ดี แต่ต้องใช้หลักการและเหตุผล และมีความโปร่งใสที่จะตอบปัญหาให้กับสังคมด้วยความเป็นธรรมที่เสมอภาคกัน ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายจึงต้องฟังและยอมรับข้อวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมถึงการศึกษาผลดีและผลเสียที่เกี่ยวข้องให้ดี และต้องดำเนินการโดยปราศจากอคติ โปร่งใส และเป็นธรรม ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องไม่อยู่เหนือกฎหมายด้วย

“ทางสภาทนายความไม่เห็นด้วยที่จะเร่งรัดการดำเนินการและออกมาตรการให้มีการดำเนินการตามคำสั่งของ สคบ.นี้ต่อไป โดยเฉพาะการนำคำสั่งดังกล่าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคปฏิบัติ ย่อมเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ใต้บังคับบัญชาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามหากมีนโยบายดังกล่าวอยู่จริง เพราะข้อวินิจฉัยข้างต้นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาถือเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องในเรื่องกฎหมายแล้ว” นายเดชอุดม กล่าว

ส่วนกรณีที่จะทาง อย.เตรียมเสนอข้อมูลเพิ่มเติมให้กฤษฎีกาพิจารณาอีกครั้ง จะสร้างความสับสนกับประชาชนหรือไม่นั้น นายเดชอุดม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว ทาง อย.สามารถที่จะทำได้ แต่ต้องอยู่ในพื้นฐานว่า  มีข้อมูลที่ใหม่กว่าของเดิมหรือไม่ และมีการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ จากทุกฝ่ายถึงเรื่องผลกระทบการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม แต่ในส่วนของสภาทนายความ เชื่อว่าข้อมูลที่จะเสนอให้พิจารณานั้น เป็นข้อมูลเก่าเหมือนเดิม และทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคงต้องยืนความเห็นเช่นเดิม

สำหรับกรณีที่จะมีการนำเสนอการประกาศห้ามโฆษณาให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ นายกสภาทนายความยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่อยากจะพูดว่าเป็นการดันทุรังมากกว่าที่จะให้มีการออกกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม การกระทำใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลเกิดความเสียหายผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถเรียกร้องได้ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องสามารถที่จะร้องเรียนได้ที่ศาลปกครอง ซึ่งหากพบว่าเป็นการผิดพลาดของหน่วยงานรัฐเอง รัฐบาลคงจะต้องออกมารับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น